top of page
รูปภาพนักเขียนOpp

Road Trip ญี่ปุ่นตามดูฟูจิ ฝึกจิตใจให้ปล่อยวาง - ตอนที่ 1 คาวากูจิโกะ & ชิซูโอกะ

อัปเดตเมื่อ 28 ธ.ค. 2567


คาวากูจิโกะ ชิซูโอกะ kawaguchiko shizuoka เที่ยวญี่ปุ่น

เดือนที่เดินทาง - พฤศจิกายน 2024


ผ่านไป 5 ปีแล้วที่ไม่ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ญี่ปุ่นน่าจะเป็นประเทศที่ไปซ้ำบ่อยที่สุดประเทศหนึ่งของใครหลายๆคน รอบนี้ก็เกิดจากอารมณ์ฮึกเหิมเวลาย้อนกลับไปดูรูปเก่าๆที่ไปเที่ยวถ่ายรูปภูเขาไฟฟูจิมาเมื่อปี 2019 (ดูโพสเก่าได้ตรงนี้รูปสวยๆเยอะมาก) เห็นแล้วมันอดใจไม่ไหวเลยวางแผนจองตั๋วแบบหน้ามืดมาก


รอบนี้โดนไป 14 วัน 13 คืน ครอบคลุมหลายพื้นที่จากโตเกียวไปจนถึงทะเลสาบคาวากูจิ แบ่งเป็น 3 ตอนครึ่งเพื่อจำกัดความยาวเล็กน้อย ฝากติดตามตอนอื่นๆด้วยนะครับ กดลิงค์ได้เลยครับ


ส่วนตอนนี้ตอนแรกเราอยู่กันที่ ฟูจิคาวากูจิโกะ และ ชิซูโอกะกันทั้งหมด 7 วัน 6 คืน และที่เที่ยวที่แนะนำมีตามนี้


การเดินทางส่วนใหญ่ก็จะใช้ขับรถเพื่อประหยัดเวลาและเซฟขาไว้เดินในโตเกียวที่ต้องมีวันละสองหมื่น เปิดหัวไว้ว่าเป็นทริปฝึกจิตใจให้ปล่อยวางเพราะว่าไปเที่ยวฟูจิครั้งใดเป็นได้แค่แขกรับเชิญ ผ่าม! ไปครั้งใดก็ต้องมีวันที่สมหวังผิดหวัง เวลาเรามองฟูจิไม่เห็นมีหลายสาเหตุ


  • ด้วยความสูง 3,776 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลยอดฟูจิสูงทะลุเมฆหลายประเภทที่อยู่ระดับต่ำกว่ายอด

  • หิมะบนยอดเขาระเหยเกิดเป็นเมฆเมื่อไออุ่นของแดดเผาหิมะบนยอด

  • ฟูจิดูจาก 5 ทะเลสาบดูใหญ่แต่จริงๆระยะทางระหว่างเรากับเฮียเขาก็ไกลพอสมควรทำให้มีชั้นบรรยากาศมาคั่นกลางระหว่างเราได้เยอะ


พอรู้แบบนี้แล้วก็เป็นการดีกว่าที่จะทำใจเผื่อไว้ว่าเฮียเค้าคงไม่ออกมาให้เราได้เห็นทุกเช้าทุกเย็น แต่ใครจะรู้ว่ามาจริงแล้วเฮียเค้าเล่นเราจุกกว่าที่คิด ปีนี้ผลจากโลกร้อนมีมากขึ้นทำให้อากาศหนาวมาช้ากว่าเดิมทำให้สภาพอากาศเป็นฝนปลายฤดูทำให้วิสัยทัศน์ไม่ดี อากาศอุ่นมากจนในโลกโซเชียลดราม่ามากมายเพราะหิมะบนยอดโผล่มาช้ากว่าปีอื่นๆ


 

Lake Kawaguchi Maple Corridor อุโมงค์เมเปิ้ล

ขึ้นเครื่องเที่ยงคืนแล้วมาถึงสนามบินนาริตะตอนเช้า แล้วต้องไปรับรถเช่า สำหรับใครที่ไม่เคยเช่ารถที่นี่อาจงงได้ว่ารับรถยังไงหว่า คือป้ายบอกทางอะไรที่นี่จัดว่าแย่พอสมควร วิธีไปคือต้องไปที่เคาน์เตอร์ของบริษัทก่อนแล้วรับบัตรขึ้นรถ shuttle เพื่อไปศูนย์รับรถ กว่าจะได้รถก็เกือบสิบโมงแล้วแวะกินข้าวและมุ่งหน้าสู่ Fujikawaguchiko ขับรถสามชั่วโมงถึง


เช็คอินแล้วฟ้ามันครึ้มๆมากเลยคิดว่าเย็นนี้แผนถ่ายรูปกับฟูจิพับไว้ก่อน ไม่ย่อท้อแล้วไปเดินดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ Lake Kawaguchi Maple Corridor ที่จอดใกล้ๆจะเก็บเงินหมดถ้าอยากประหยัดแนะนำให้จอดที่จอดข้าง 7-Eleven Kawaguchiko Museum-dori จอดฟรีที่เยอะแต่ต้องเดินประมาณ 10 นาที


ถนนริมทะเลสาบมีต้นเมเปิ้ลต้นแปะก๊วยเรียงสวยมาก ตอนเย็นจะมีเปิดไฟใส่ต้นไม้ ไฟก็จะส้มๆทำให้ต้นไหนยังติดเขียวๆยังไม่เปลี่ยนสีก็ดูส้มๆเหลืองๆไปด้วย ลุงคนดูแลหันมาถามไอหนูเอ็งจะเอาใบไม้สีอะไรเดี๋ยวลุงปรับไฟให้ ล้อเล่นๆ


ตลอดทางจะมีร้านค้าขายขนมขายข้าวตลอดด้วย เดินมาถึงแล้วจะเห็นคนเป็นล้าน ห้าแสนคือคนไทย ทางเดินก็ไม่ยาวมากครับได้เห็นใบไม้ที่ไม่ใช่สีเขียวนี่มันแปลกตามากๆจริงแล้วไฟตามต้นไม้ก็ทำให้ดูสวยงามบรรยากาศดีอีกด้วย


มาเที่ยวช่วงนี้ช่วงวันจะสั้นพอสมควรเลยได้นอนไวมากๆ แต่ยังติดใจสงสัยว่าหมู่ใบไม้แดงส้มเหลืองนี้เค้าจะสวยกว่านี้มั้ยเวลากลางวัน เช้าวันถัดไปเลยวนกลับมาอีก ถ้าให้สารภาพคือไปรอดูฟูจิแล้วเฮียไม่ออกมาเลยหาไรทำ 555


แต่เค้าก็สวยจริงๆนะช่วงกลางวันแดดออกส่องใบไม้ระยิบระยับ ดีใจจังที่ได้มาเห็น เพราะในอดีตผมเคยมาตามดูแล้วแต่ตอนนั้นเขียวอื๋อเลย อีกข้อดีในการมาตอนเช้าคือคนน้อยกว่าตอนเย็นเยอะ


Tenka Chaya ร้านชาบนเขาติดจุดชมวิวฟูจิ

เช้านี้ก่อนจะกลับมาดูอุโมงค์ต้นไม้เราก็ได้พยายามขับรถขึ้นเขาไปจุดชมวิวดูฟูจิด้วยนะ แต่ว่าไม่มีรูปมาให้ดูเพราะเฮียฟูจิเค้าเบี้ยวเรา แต่ถ้าออกมาตรงนี้จะสวยมากเลยในฤดูใบไม้ร่วง ใครมีบุญไปเอารูปมาให้ดูหน่อยน้า https://maps.app.goo.gl/YHh5oHqMuMeMMrqU9 ถึงฟูจิไม่มาที่ตรงนี้ก็ยังสวยมากอยู่ดี ยิ่งเช้านี้หมอกลงดูลึกลับ มีใบไม้แดงตามทางเดินเขา มีร้านชาสุดคลาสสิก มีอุโมงค์ที่มียายแก่เทอร์โบสิงอยู่รอขโมยกล้วย ว่าแต่ผมสงสัยมากว่าทำไมรอบนี้เค้าเอารถเช่าให้เราสีสันฉูดฉาดขนาดนี้


Oishi Park + Momiji Tunnel สวนโออิชิ กับ อุโมงค์เมเปิ้ลทะลุฟูจิ

ขับรถลงเขามาแล้วแวะไปดูอุโมงค์เมเปิ้ลมาแล้ว เลยไปต่อที่ Oishi Park ต่อเลยเพราะฟูจิโผล่มาแล้ว เล่นบทตบจูบกันอยู่ เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก ภาพนี้เหมือนเมฆพันภูเขาไว้เลย ฟูจิช่วงนี้มีผมหน้าม้าเต่อๆด้วย


ในระหว่างนี้ฟูจิก็เข้าๆออกๆอยู่เป็นระยะๆ เลยรีบไปหาถ่ายรูปกันก่อนเฮียแกจะหายเข้าไปในเมฆอีก เลยจาก Oishi Park มาจะมีที่จอดใกล้ๆ Momiji Tunnel อุโมงค์เมเปิ้ลอีกที่เห็นฟูจิทะลุรูใบไม้ออกมา ตรงนี้เดินกันระวังรถด้วยเพราะอยู่ติดถนนเลย ใบไม้แดงเยอะมาก



Fujiyama Twin Terrace จุดชมวิวฟูจิที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง

พอบ่ายๆดูเมฆมาเยอะอีกแล้วแต่มันถึงจุดที่ต้องวัดใจแล้วเพราะบนฟ้ายังมีรูเมฆเปิดอยู่บ้าง หวังว่าพอตอนเย็นลมจะพัดเมฆไปหมดให้เปิดให้เราได้เจอกับเขาคนนั้น ฟูจิซัง เย็นนี้ก็ชั่งใจอยู่ว่าจะไปมุมไหนดีระหว่างมุมเมื่อเช้าที่พลาดหรือมุมใหม่ที่เทพกว่าแต่เสียเงินขึ้น ถ้าพลาดคือเสียเงินฟรี แต่ใจเรามันได้ ไปที่ Fujiyama Twin Terrace กันเลย


ที่ตรงนี้สามารถเข้าได้ 24 ชั่วโมงแต่ว่ารถบัสขึ้นลงเขาจะให้บริการตามเวลาด้านล่าง จะเห็นว่ารถขึ้นรอบแรกจะไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นกับขาลงรอบสุดท้ายจะไม่ทันพระอาทิตย์ตก เพราะฉะนั้นใครจะอยู่จนพระอาทิตย์ตกจะต้องเดินลงเองมืดๆแต่ถนนราดยางดีเลย


สำหรับคนที่ขับรถไปให้เอารถไปจอดที่นี่ https://maps.app.goo.gl/7Mr5HxPo1VoNKsMQ7 แล้วก็ทำการซื้อบัตรขึ้นรถบัสคนละ 1,800 เยน เด็กครึ่งราคา หรือใครไม่อยากจ่ายก็สามารถเดินขึ้นได้เป็นระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตรแบบไม่มีทางราบเลย

fujiyama twin terrace

รถบัสจะไปส่งเราบนเขา ตรงป้ายรถมีห้องน้ำด้วย จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดต่ออีกประมาณ 5 นาที ถ้ามากับดวงก็จะได้เห็นสิ่งนี้ ว้าวมากกกก

fujiyama twin terrace วิวฟูจิ คาวากูจิโกะ

บนยอดจะมีจุดชมวิวฟูจิสองจุดด้วยกันแต่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ก็เลือกกันได้เลยว่าชอบอันไหนเพราะอยู่ใกล้กันมาก โชคดีจริงๆที่ตัดสินใจมาแล้วฟูจิโผล่ออกมาระหว่างทางมาพอดี ฟินสุดๆ น้ำตาจะไหล พอฟ้าเริ่มมืดแล้วไฟเมืองข้างล่างก็เริ่มสว่าง วันนี้ฟูจิให้เราได้ฟินตอนเย็นจากที่ทำร้ายเราเมื่อเช้า ทำให้เราเป็นจำเลยรักของฟูจิ


ริมทะเลสาบคาวากูจิ

คืนก่อนเดินลงเขาทำเอาขาปวดพอสมควรแต่มีความสุขมากที่ได้เห็นเฮียฟูจิเค้าเต็มๆ ด้วยความที่มืดเร็วนอนเร็วเลยตื่นกันเองแต่เช้ามืด ถ้าทำงานขยันแบบนี้ป่านนี้คงได้เป็น CEO แล้ว


ลองออกมาดูสภาพด้านนอกขับรถวนดูว่าจะเห็นฟูจิมั้ยเช้านี้เพราะเมฆดูเยอะมาก วนไปแถวทะเลสาบแล้วเห็นโผล่ออกมาเล็กๆเลยรีบขับรถไปที่ริมทะเลสาบกัน จอดรถตรงนี้แล้วเดินลงตลิ่งไปจะมีต้นเมเปิ้ลอยู่ ไปยืนปั้นกันได้เลย https://maps.app.goo.gl/cmBRnEUJAWFb9PHF9


คือจะออกก็ออกมาครึ่งๆนะครับคุณพี่ เมฆติดยอดฟูจิเป็นภาพที่เห็นได้ด้วยความที่ยอดสูงเหลือเกิน ส่วนภาพฟูจิล้อมด้วยใบไม้แบบนี้ยอมรับว่าไม่ถนัดและปวดเข่ามากเพราะต้องย่อๆยืนๆหารูที่เหมาะสมให้ฟูจิโผล่ออกมา สุดท้ายได้มาแบบไม่ตั้งใจเพราะเรือใครก็ไม่รู้โดนน้ำพัดเข้าเฟรมมาแบบพอดิบพอดี ฟ้าส่งมาให้หรือนี่


Kitaguchi Hongu Fuji Sengen Shrine ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเง็น

วัดเก่าแก่ในป่าสนที่เคยเป็นที่สักการะภูเขาไฟฟูจิ สวดไม่ให้ฟูจิปะทุขึ้นและยังเป็นจุดเริ่มปีนฟูจิในอดีตอีกด้วย ทุกวันนี้เป็นแลนด์มาร์คสำคัญโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ทำให้บริเวณวัดยิ่งสวยเข้าไปอีก


ทางเดินเข้าวัดจะเป็นถนนเรียงด้วยตะเกียงหินและต้นสนขนาดยักษ์สูงลิ่ว ยิ่งใหญ่มาก ธรรมชาติสุดๆ


ด้านหน้าวัดสนใหญ่ด้านในวัดต้นแปะก๊วยใบไม้เหลือง ต้นใหญ่สูงอลังการมาก ผมพึ่งรู้ว่าคนที่เค้ามาเที่ยวช่วงนี้กันเค้าเล่นเอาใบไม้บนพื้นมาโปรยเล่นกันด้วย สุดยอดความคิดสร้างสรรค์


ต้นไม้และสวนในวัดสวยแบบกินใจมาก กิ่งไม้ที่ดัดอย่างสวยงาม การดูแลต้นไม้ต้องยกให้คนญี่ปุ่นจริงๆ การดัดกิ่งไม้ต่างๆแบบบอนไซใช้เวลาชั่วอายุคนหนึ่งคน ความอดทนต้องเป็นเลิศ


ตัวอาคารก็สวยงามมากเช่นกัน เป็นวัดที่ได้รับการดูแลอย่างดี ต้นสนหน้าอาคารหลักต้นใหญ่มาก บางส่วนดูเก่าและขลังมาก ความที่วัดญี่ปุ่นใช้วัสดุธรรมชาติมันทำให้ทุกอย่างดูขลังดูเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมันทำให้สวยมากจริงๆ


วัดนี้วัดเดียวใช้เวลานานมากเพราะสุดทุกมุมเลย หันไปทางไหนสีสันสวยงาม ต้นไม้ฟอร์มสวยงามโอบรับกับอาคารศาลเจ้า ล้อมกรอบถ่ายรูปได้เพียบ ใครมาช่วงฤดูใบไม้ร่วงไม่ควรพลาดจริงๆ


และที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่ Fujikawaguchiko ก่อนเราจะขับรถออกไปชิซูโอกะกันแล้ว มีหลายมุมถ่ายรูปเลยที่วางแผนจะไปแต่อากาศไม่เป็นใจ เราพลาดไปรวมๆ 6 จุดด้วยกันแต่ว่าเราก็ได้ภาพระดับเทพที่บนยอดเขามา มองโลกในแง่ดีฝุดๆ


 

Shizuoka - Satta Pass

เย็นวานนี้เข้าโรงแรมเช็คอิน ฝนตกเล็กๆเลยรู้ละว่าไม่ต้องไปตามดูฟูจิในมุมที่เลือกไว้ จบด้วยการหาอะไรอร่อยๆกินก่อนกลับโรงแรมมาพักผ่อน เช้านี้ดูสภาพอากาศแล้วเหมือนมีลุ้นเลยรีบแต่งตัวแล้วออกไปจุดชมวิวฟูจิที่ Satta Pass กันเลย จุดที่จะไปคือตามลิงค์นี้เลย https://maps.app.goo.gl/Wdk85qN5ZGHD3x9E8


สำหรับใครที่ต้องการตามรอยไปมุมนี้บอกก่อนว่าถนนที่ขับไปมันโหดมันน่ากลัว เพราะเป็นทางริมเขาริมผาและถนนแคบมาก กว้างกว่าช่วงรถนิดเดียวให้ชาวสวนแถวนี้เดินทางขึ้นลงเขา ใครขับไม่แข็งแนะนำให้ไปที่ใกล้ๆกันที่ถนนไม่แย่เท่าตรงนี้แทน https://maps.app.goo.gl/fbnzEukfA6Cu9zXu9


ส่วนใครมั่นใจก็ขอให้ขับไปอย่างระมัดระวัง แล้วคุณจะได้รางวัลด้วยมุมนี้ของฟูจิ สวยมากเลย ขนาดเมฆบังเยอะแยะมียอดฟูจิโผล่มานิดหน่อยก็ยังสวยมาก วันนี้ฟูจิโผล่มาให้ถ่ายรูปแค่ไม่เกิน 30 วินาทีโชคดีมากที่กดชัตเตอร์มาทัน

ฟูจิยามเช้า satta pass

Shiraito Falls น้ำตกชิไรโตะ

พอเมฆมาบังแล้วฟูจิก็ไม่โผล่มาอีกเลย จนเราเก็บกล้องเก็บขาตั้งขึ้นรถ 555 จะแกล้งกันไปถึงไหน แต่แสงก็เริ่มแข็งแล้วเลยลงเขากันดีกว่า พอสว่างแล้วเห็นสภาพทางแล้วขนลุกยิ่งกว่าเก่า หลังจากนี้ก็ไปเช็คเอาท์อะไรๆแล้วก็ไปเที่ยวน้ำตก Shiraito Falls จริงๆเคยไปที่นี่มาแล้วแต่ว่าอยากไปเห็นตอนใบไม้เปลี่ยนสีด้วย จริงๆมุมนี้ก็จะเห็นฟูจิด้วยแต่ตอนนี้จะเห็นว่าเค้าโผล่มานิดๆ โผล่มาแบบแอบมองเธออยู่นะจ๊ะ


หลังจากนั้นเราพากันไปนั่งจิบชาและใช้เวลาพักผ่อนเงียบๆเพราะว่าแผนสำหรับวันนี้ทั้งหมดมันหมุนรอบฟูจิและวันนี้เฮียเค้าลางาน ซดน้ำชาพร้อมน้ำตา 555 จะว่าไปชิซูโอกะเป็นพื้นที่ปลูกชาชื่อดังและมีชาหลายรูปแบบหลายรสชาติให้ได้ลอง ชานี้จำชื่อไม่ได้แล้วแต่ว่ามีรสชาติแปลกใหม่มาก หน้าตาเหมือนต้นหอมอบแห้งเวลากินมาม่า


วันนี้ทั้งวันมีที่เที่ยวแค่นี้เลย 555 แล้วพากันไปเข้าโรงแรมที่ Shimizu แวะตลาดปลา Kashi-no-Ichi Market ซื้อปลาลดราคาตอนเย็นมาทำข้าวโปะปลาดิบกินกันเองในห้องโรงแรมก็มีความสุขแล้ว ฉันไม่ง้อแกหรอกฟูจิ ที่มาพักที่ Shimizu เป็นเพราะเราตั้งใจจะไปถ่ายรูปบนเขาใกล้ๆกัน


ตามพยากรณ์อากาศวันนี้ฝนตกทั้งวัน แผนที่วางไว้เป็นต้องพับทั้งหมด แต่ไหนๆก็มาแล้วก็อย่าไปซึม หาที่เที่ยวใกล้ๆ หาร้านกาแฟนั่งสบายๆบ้าง เช้านี้ไม่รีบร้อนค่อยๆตื่นแล้วไปเดินเล่นริมแม่น้ำในเมือง Shimizu เป็นเมืองเล็กๆเงียบๆที่ดูแล้วนักท่องเที่ยวไม่น่าจะค่อยมากันแต่บรรยากาศวันนี้ดีมากมีเมฆติดเนินเขาครึ้มๆเหมือนฝนกำลังจะตก เดินเช้าไปหน่อยร้านอะไรก็ยังไม่เปิด


Miho no Matsubara ป่าสนริมทะเลที่แหลมมิโฮะ

พอหาข้าวกินไม่ได้เลยตัดสินใจออกไปเที่ยวกันริมทะเลที่ป่าสนริมหาดที่แหลมมิโฮะกัน อย่าไปซึม จอดรถฟรีที่ Miho Shirube เสร็จฝนก็ตกพอดี เดินออกมาจะเห็นทางเดินไม้ที่มีต้นสนขนาบสองข้าง ทางพุ่งตรงไปที่ศาลเจ้า Miho Shrine


ความเชื่อพื้นเมืองว่าเทพสององค์ของศาลเจ้านี้ว่ากันว่าเป็นสามีภรรยากัน เชื่อกันว่าศาลเจ้านี้ให้โชคกับคู่รักหรือให้โชคสำหรับคนกำลังหาคู่ได้เหมือนกัน พอดีฝนตกมากเลยตัดสินใจเอาโทรศัพท์ถ่ายเอานิดหน่อยละกัน ต้นสนตรงนี้ต้นใหญ่มากเรียงเป็นแถบสวยมากครับ ถ้าฝนไม่ตกคงจะสวยกว่านี้อีก


Nihondaira นิฮนไดระ ศูนย์กระจายสัญญาณวิทยุโทรทัศน์บนเขา

เป็นอีกที่ที่วางแผนจะมาถ่ายภาพฟูจิยามอาทิตย์อัสดงแต่ดูทรงวันนี้จะมีแต่ท่าเรือข้างล่าง แวะมาดูที่ทางไว้ก่อน อนาคตจะกลับมาแก้แค้น ตรงนี้ถ้าฟ้าเปิดมันจะสวยมากๆเลยนะครับดูจากรูปคนอื่นแล้ว แต่ของเรามโนเอาเองไปก่อน


ไม่ได้ก็อย่าไปดันทุรังครับ เราออกจากตรงนี้เพื่อไปโรงแรมถัดไปที่ดีกว่า คืนนี้มีแผนจะไปกินของอร่อยย้อมใจแล้วพรุ่งนี้เช้าเราเอาใหม่กิจกรรมแน่น!

 

Ninooka Shrine ศาลเจ้านิโนโอกะ

ศาลเจ้านี้อยู่นอกเส้นทางเล็กน้อยแต่ว่าอยากมาเห็นมากเพราะในรูปดูสวยมาก มาถึงแล้วไม่ผิดหวังเลยเพราะว่าวัดอยู่ในป่าสนแดงต้นตรงเป๊ะ ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลย เช้านี้เลยซื้อข้าวจากเซเว่นแล้วเอามานั่งกินในป่าชิวสุดๆ ระหว่างกินข้าวก็มีแดดสองออกมาจากช่องว่างระหว่างต้นไม้กระทบใส่โคมสีส้มพอดี magical moment มากๆ


นอกจากนั้นยังมีต้นเมเปิ้ลต้นแปะก๊วยสีสันสวยงามด้วย หน้าศาลเจ้าหลักมีต้นแปะก๊วยสองต้นขนาบข้างเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่


อีกความเท่ของที่นี่คือผู้กำกับชาวญี่ปุ่นชื่อดังใช้โลเคชั่นนี้เป็นฉากในหนังในตำนาน The Seven Samurai ที่เป็นแรงบันดาลในให้หนังอื่นๆเยอะมากเช่น Star Wars ของจอร์จ ลูคัส ว่าแต่หนังเค้าก็ยังไม่เคยดูเลยนะ


ถามว่าผมมีความรู้หรอ ป่าวเลย แค่เดินมาเจอป้ายอธิบายไว้

ninooka shrine akira kurosawa

Riverside Station Izu Gateway Kannami จุดพักรถประตูสู่อิซุ

Riverside Station Izu Gateway Kannami

ก่อนเข้าสู่อิซุขอเอ่ยก่อนว่าสำหรับคนขับรถและใช้บัตร ETC (Electrotic Toll Collection) สำหรับขึ้นทางด่วนให้รู้ไว้ว่าในอิซุไม่สามารถใช้ได้นะครับ ไม่รู้ว่ายังไงแต่อาจจะเพราะว่าท้องถิ่นนี้เค้าจัดการทางด่วนเองเพราะมีพนักงานเก็บเงินตรงด่านด้วย เตรียมเงินสดไว้ด้วยครับ


เล่าเรื่องเที่ยวต่อ ถึงจะเป็นจุดพักรถแต่ว่าที่ตรงนี้มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ อย่าง Mentai Park Izu โรงงานผลิตสินค้าจาก Mentaiko ถุงไข่ปลาจากปลาพอลล็อคปรุงรสเผ็ดๆเค็มๆ อร่อยมากแต่กินเยอะๆไม่ดีต่อสุขภาพ


เข้าโรงงานไปสิ่งแรกที่เจอคือร้านขายของฝากขายอาหารที่เอา mentaiko มาใส่ทุกอย่างไปจนถึงซอฟท์ครีมและคุ๊กกี้! ลองกินแล้วมันหวานจนไม่ได้รสเม็นไทโกะเลย ดูรูปจะเห็นว่าเค้ามีไข่ปลาวางไว้ให้ชิมฟรีๆเลย แต่กินเยอะระวังสุขภาพกันด้วยนะทุกคน


โรงงานเค้ายังมีนิทรรศการให้ดูฟรีด้วยโดยด้านในก็จะให้ความรู้เกี่ยวกับปลาชนิดต่างๆที่คนญี่ปุ่นนิยมกินไข่กัน แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย แต่ที่สนุกคือได้ดูเค้าคัดเลือกกับบรรจุไข่ปลาใส่หีบห่อ ไข่ปลาวางเต็มเป็นถาดๆเลย แล้วเค้าก็แนะนำด้วยว่าเอาเม็นไทโกะไปทำเมนูอะไรได้บ้าง ส่วนใหญ่ที่เห็นคือเอาไปโรยหน้ากับอาหารอื่นๆ 555


ข้างๆกันมีพิพิธภัณฑ์วาซาบิที่เอาไว้หลอกขายของเหมือนกัน เป็นไอเดียที่ดีมากที่ทำเป็นให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวแล้วเริ่ม tie-in การขายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น อยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยบ้างนะ


วันนี้ได้ความรู้ด้วยว่าที่ขูดวาซาบิทำจากหนังของฉลามซักชนิดที่เป็นตะปุ่มตะปั่ม แต่ปัจจุบันพัฒนาให้มาเป็นที่ขูดเหล็กแล้ว ที่นี่มีขายที่ขูดวาซาบิที่ปุ่มๆเป็นคำว่าวาซาบิภาษาญี่ปุ่นด้วย (わさび) อย่างเท่! พวกของกินต่างๆบางอย่างก็มีให้ชิมด้วยนะครับ มีอร่อยเยอะอยู่สำหรับใครที่อยากซื้อเป็นของฝากคนที่บ้าน


Izu Shaboten Zoo สวนสัตว์ที่มีโชว์กะปิอาบน้ำ

ที่นี่ต้องไปจริงๆเพราะภรรยาที่อดทนไปรอดูฟูจิกับเราขอไว้ เค้าทำเพื่อเราเยอะแล้วเราต้องให้เค้าได้สมหวังด้วย 555 แต่พอมาแล้วกลับสนุกกว่าภรรยาอีกเพราะน้องๆน่ารักกันมาก


แนะนำว่ามาถึงแล้วให้ดูเวลาโชว์ที่อยากดูไว้ก่อนเลยจะได้วางแผนเดินให้ดี สวนสัตว์ดูเผินๆเหมือนไม่ใหญ่แต่จริงๆแล้วเดินหลงพอสมควร แต่ไม่ยากเกินไปสำหรับคนอยากดูหนูน้ำแน่นอน


ก่อนอื่นมีรูปสัตว์น้อยใหญ่มาให้ดูรวมๆเพราะคงไม่อธิบายวิธีการเที่ยวสวนสัตว์กันนะครับ อันแรกน้องๆประเภทขนปุกปุย มีจุดที่ให้หญ้าน้องกะปิได้ด้วยนะ ทุกคนน่ารักน่ากอดมาก


นกตัวใหญ่ขนสวยๆก็มีเยอะ ที่นี่ได้เจอกับฟลามิงโก้แบบใกล้ชิดมากๆ ใกล้จนห่วงกลัวนักท่องเที่ยวจะทำร้ายน้องๆได้ ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่มายืนเฝ้าด้วย ขนฟลามิงโก้สวยมากเลยจนอยากซูมให้ดูกันครับผม


ตึกรูปครึ่งนกครึ่งหมาอันนี้เข้าไปจะเป็นทางเดินใต้ดินเพราะเค้าใช้คุมอุณหภูมิสำหรับต้นกระบองเพชรมากมาย ชื่อสวนสัตว์ว่า Shaboten (シャボテン) แปลว่ากระบองเพชร แต่คำนี้จริงๆเลิกใช้และเปลี่ยนไปใช้คำว่า Saboten (サボテン หรือ 仙人掌) แทน แต่สวนสัตว์เค้าขอเก็บชื่อเก่าไว้ ด้านในนอกจากมีกระบองเพชรหลายพันธุ์มากๆแล้วยังมีนกฮูกน้อยๆยืนอยู่ด้วย น่ารักไม่ไหว


หลังจากเดินจบเส้นทางกระบองเพชรตอนจบสามารถซื้อต้นกระบองเพชรเล็กๆพร้อมกระถางสุดคิ้วท์เอากลับบ้านได้ เสียดายบ้านไม่ได้อยู่แถวนี้


เหล่าลิงเล็กใหญ่ชะนีน้อยก็น่ารักมากเหมือนกัน แต่พวกนี้จะซนมากโหนไปโหนมาไม่หยุด บางทีก็ไปแย่งอาหารเพื่อนอี๊ก ขอแถมสัตว์แปลกๆไม่เข้าพวกด้วยนะ 55


เอาแล้วๆ พระเอกของงานนี้ที่ทำให้ต้องมาที่นี่ หนูน้ำหรือกะปิหรือคาปิบาร่า (ชื่อเยอะ!) อาบน้ำร้อนกันเป็นฝูงดูชิวดูสบาย ทั้งน่ารักทั้งตลก หน้าพวกแกมึนเว่อ



 

Shuzenji เมืองน้ำพุร้อนแช่ออนเซ็นกลางหุบเขา

หลังจากได้ดูน้องๆสรรพสัตว์จนฉ่ำใจแล้วก็ไปต่อกันเลย จะเข้าที่พักที่เป็นโรงแรมมีออนเซ็นกันแล้ว ตื่นเต้นเลย โรงแรมที่เข้าพักราคาถูกมากประมาณ 6,100 บาทอยู่ได้สามคน 1 คืนและห้องก็ดีมากรวมหลายอย่าง

  • ที่จอดรถ

  • อาหารเช้ามีให้เลือกกินเยอะมาก

  • มีออนเซ็น 3 บ่อ

    • แช่ออนเซ็นห้องส่วนตัว 40 นาที 1 บ่อ 1 ห้อง

    • ถ้าใครอยากแช่ต่อสามารถไปห้องรวมแยกชายหญิง

    • บ่อส่วนตัวแต่เป็นแบบมาก่อนได้ก่อน ถ้าไม่มีคนใช้อยู่ใช้ได้แต่ถ้ามีก็ต้องรอ

ใครสนใจแนะนำลองดูที่ Breezebay Shuzenji Hotel ได้เลยครับ


นอกจากนั้นเมือง Shuzenji เป็นเมืองเล็กๆน่ารักมากมีแม่นำ้ Katsura สายเล็กๆผ่านกลางเมืองและมีบ่อน้ำร้อนให้แช่เท่าได้ตามที่สาธารณะตามริมแม่น้ำ มาถึงก็ใกล้มืดแล้วไปเดินดูนิดหน่อยหาอะไรกิน เมืองนี้ร้านรวงปิดค่อนข้างไวแต่ก็ยังพอหาร้านข้าวได้บ้าง ถ้าหมดจริงๆขับรถออกจากเมืองไปนิดหน่อยก็จะเจอร้านสะดวกซื้อแล้วล่ะ


คืนก่อนได้แช่น้ำร้อนได้นอนเตียงดีๆหลังจากนอนไม่ดีมาหลายวัน เช้านี้มีแรงมากเลยขับรถตระเวณหาที่ถ่ายรูปฟูจิ ที่ที่วางแผนจะไปเดินขึ้นเขาไปซักพักปรากฎว่าทางโดนดินถล่มพังหมด แล้วเดินไปมืดๆผวามากๆ เลยเปลี่ยนใจไปที่ง่ายๆตรงนี้ https://maps.app.goo.gl/RgV2hXsKheEwVXpX6 ไม่ใช่มุมที่ชอบที่สุดแต่เป็นมุมเดียวที่เห็นเช้านี้แถวนี้เพราะเมฆเยอะมากทำให้ต้องอยู่ที่สูงพอสมควรให้เห็นยอดฟูจิผ่านพ้นเมฆ ตรงนี้อยู่ใกล้กับ Shuzenji มากๆขับรถไม่ถึง 20 นาทีจอดรถปุ๊บถ่ายรูปได้เลย


ความจริงแล้วเช้านี้แผนเราคือจะไปถ่ายรูปฟูจิที่ Uchiura Omosu Observation Deck บน Google Maps แต่พอไปถึงที่นี่ตอนเช้ามืดพบว่าบนทางเดินขึ้นเขามีแลนด์สไลด์ ดินถล่มทับถนน แล้วมันมืดมาก กลัวหมีกลัวผี พอเห็นมีดินถล่มมองทางไม่เห็นเริ่มกลัวตาย ถอยเลยจ้า ไปที่ง่ายๆแล้วรักษาชีวิตไว้ดีกว่า


วันนี้เมฆเยอะจนเห็นแต่ยอดแต่ก็โชคดีได้หมอกติดเนินเขาข้างหน้ามาด้วยก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเต็มๆ ฟูจินี่เค้าใหญ่จริงๆ ขับรถออกมาไกลมากแล้วยังเห็นใหญ่เบ้อเร่อ


เดินกลับมาที่รถเห็นด้วยว่าน้ำค้างแข็งบนหลังคารถมันระเหยเป็นควัน แบบนี้เองที่ยอดฟูจิชอบมุดใต้เมฆ

ice evaporating

ถ่ายรูปเสร็จแล้ว กลับไปกินข้าวเช้าที่โรงแรมแล้วก็ออกไปเดินเที่ยวในเมืองอีกนิดหน่อย แถวนี้มีสวนไผ่ร่มรื่นมีสะพานข้ามแม่น้ำให้ชมธรรมชาติสวยดีครับ


ใบไม้เปลี่ยนสีตรงนี้เค้าเปลี่ยนทีละนิดแทนที่จะค่อยๆเหลืองไปแดง โอ้วแปลกตามาก สีเหมือนแตงโม เจอแมงมุมพวกนี้บ่อยมากทำให้เวลาเดินผ่านต้นไม้ก็รู้สึกหวาดเสียวไปด้วย ถ่ายรูปกลับมาแล้วก็ทำให้สยองเวลารีทัชรูปเหมือนกัน หยึยๆ



เดินตามทางมาก็จะได้เจอกับจุดบ่อน้ำร้อนสำหรับแช่เท้า จุดแช่เท้าเหล่านี้ต่างมีอายุหลายร้อยปีให้คนที่ผ่านไปมาได้นั่งพักผ่อน การมีบริการสาธารณะแบบนี้ญี่ปุ่นเค้าล้ำหน้าบ้านเราไปไกลมากจริงๆ


และแลนด์มาร์คของเมือง Shuzenji คือวัดในชื่อเดียวกัน Shuzenji Temple เป็นวัดเล็กๆแต่ก็มีบรรยากาศสบายๆแบบญี่ปุ่น สิ่งปลูกสร้างที่ให้วัสดุธรรมชาติให้ความรู้สึกร่มเย็นกว่าจริงๆ


เล่ามาถึงตรงนี้แล้วขอเบรคไว้ตรงนี้ก่อนเพราะหลังจากนี้เราจะขับรถออกจากเมืองนี้ไป... ไปตอนที่ 2 กันแล้ว ฝากตามอ่านต่อๆไปของทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ด้วยนะครับ ยังมีอะไรสวยๆให้ดูอีกเยอะเลย หวังว่าเพื่อนๆผู้อ่านจะได้รับความสุขและข้อมูลสำหรับไปเที่ยวด้วยตัวเอง ไม่ขออะไรมากแค่ช่วยกดไลค์ติดตามเพจด้วยน้า ขอบคุณครับ

https://www.facebook.com/nopeopletravelphoto/ สำหรับตอนต่อไปติดตามได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยครับ



ดู 12 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


อ่านสนุกได้ความรู้ สนับสนุนเป็นกำลังใจให้ No People Travel Photo
กำลังใจเล็กๆน้อยส่งแรงให้เราทำผลงานดีๆออกมา
Select an item (฿)

ขอบคุณสำหรับกำลังใจให้ No People Travel Photo

bottom of page