เดือนที่เดินทาง - พฤศจิกายน 2024
มาถึงจุดนี้ของ Road Trip ของเราก็ผ่านมา 7 วันแล้ว ความเดิมตอนที่แล้วคืออยู่แถวทะเลสาบคาวากูจิและชิซูโอกะเพื่อภารกิจตามถ่ายภาพฟูจิ แต่ด้วยความเป็นทริปคนบาปฟ้าไม่เป็นใจจึงเห็นฟูจิออกมาน้อยมากจนทำให้บางวันต้องนั่งคาเฟ่เฉยๆเพราะจะให้ทิ้งโรงแรมแล้วไปเที่ยวที่อื่นก็ไม่มีตังค์ เลยใช้วิธีตื่นธรรม ปล่อยวางและเอ็นจอยกับบรรยากาศเมืองญี่ปุ่นต่างจังหวัดกันอย่างเต็มอิ่ม
พึ่งขับรถออกจาก Izu มาและเข้ามาสู่จังหวัด Kanagawa เพื่อไปเที่ยวเมืองริมเลอย่างคามาคุระ และต่อที่โยโกฮาม่าเพื่อไล่ไปเข้าโตเกียวในที่สุด
ก่อนจะไปต่อฝากเพื่อนๆที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรกไปเริ่มก่อนและฝากอ่านต่อๆไปของทริป 15 วัน 14 คืนด้วยนะครับ กดลิงค์ด้านล่างได้เลย
ตอนที่ 2 ใช้เวลา 4 วัน 3 คืน และที่เที่ยวตามนี้เลย
ก็ยังคงขับรถเป็นหลักอยู่นะครับถึงแม้ว่าคามาคุระจะมีรถรางเอโนะเด็นที่น่ารักน่านั่งแต่ว่าลองได้นั่งหนึ่งวันแล้วคนแน่นมากและที่ที่อยากไปอยู่ค่อนข้างไกลจากสถานี ข้อเสียในการขับรถคือที่นี่ไม่มีที่จอดฟรีเลยต้องเสียค่าจอดค่อนข้างมากและรถติดไม่เบาเลยสำหรับถนนเส้นริมทะเล
Tateishi Park และ Shin-nase Beach
ขับรถจาก Izu มาถึงคามาคุระก็เริ่มเย็นๆแล้วเพราะแวะพักไปเรื่อยเปื่อยตามทางหาของกินแบบไม่กะให้ท้องได้พักรู้สึกหิวเลย พอมาถึงแล้วเอากระเป๋าลงเข้าที่พักใกล้ๆสถานี Enoshima แล้วดูอากาศดีมีความหวังเลยตัดสินใจขับรถไปที่ Tateishi Park สวนริมทะเลที่จริงๆแล้วอยู่ในเขตเมือง Yokosuka ขับไปไกลขนาดนั้นทำไม ก็ต้องไปถ่ายรูปฟูจิอยู่แล้ว เก็บที่ไกลๆก่อนเลยจะได้ไม่ต้องไปอีก
บรรยากาศยามเย็นริมทะเลและฟูจิและโขดหินยื่นลงไปในทะเล เหมือนฉากในภาพวาดพิมไม้สมัยโบราณ จะว่าไปฟูจิผมว่าเค้าแกล้งเราเยอะมาก ตอนอยู่ใกล้ๆเค้าไม่ออกมาแต่ตอนอยู่ห่างเป็นร้อยกิโลพี่แกโผล่มาซะอย่างงั้น
ยืนดูพระอาทิตย์ตกจนเริ่มหนาวและฟ้าเริ่มสีจัดจ้าน พาไปดูอีกมุมที่ Shin-nase Beach ตัวหาดไม่ได้มีอะไรพิเศษแต่เค้ามีมุมเท่ที่มีเสาโทริอิกลางน้ำอยู่หน้าฟูจิ วันนี้ฟ้าเปิดดีมาก
คามาคุระเป็นเมืองที่อาหารอร่อยดีมากครับ กินร้านไหนก็ไม่ผิดหวัง ส่วนใหญ่ใช้แบบเดินผ่านอะไรหรือไถ Google Maps เจออะไรดูรีวิวดีรีวิวเยอะก็ไว้ใจได้หมดเลย คืนนี้นอนไวอีกแล้ว รอลุ้นพรุ่งนี้เช้ากัน
Enoshima Island คามาคุระ
เช้านี้ตื่นเองแต่เช้าอีกแล้ว อากาศก็ดีออกไปเดินเที่ยวใกล้ๆที่พักตรงสะพานข้ามไปเกาะ Enoshima มีคนญี่ปุ่นมาวิ่งออกกำลังกาย ตกปลาอยู่ริมตลิ่งหรือออกเรือไปตกปลากลางทะเลกันเยอะเลย
มุมนี้จริงๆสามารถเห็นวิวฟูจิได้แต่พอเช้านี้ฟูจิไม่ออกมาเราก็เหมือนถูกปลดโซ่ตรวนแล้วได้ชื่นชมความสวยงามของคามาคุระยามเช้าอย่างเต็มที่ นกร้องเสียงคลื่นเสียงใบไม้ลู่ลม เราเป็นอิสระแล้ว 555
ในทริปนี้เรามาบริเวณเกาะ Enoshima หลายรอบเพราะมันอยู่ใกล้แล้วก็มีแบบกลับมาแก้ตัวเรื่องฟูจิวันหลัง แต่เพื่อไม่ให้วุ่นวายขอเล่าไว้ที่เดียวกันเลยละกัน สำหรับคนที่มาเช้าสามารถเดินเข้าเกาะไปต่อได้เลย ตอนเช้าๆดีมากเพราะคนไม่เยอะ พอสายๆหน่อยคนจะแน่นมากแล้วยิ่งตอนเย็นยิ่งแล้วเลย
วิธีเดินเที่ยวง่ายมากครับ เดินตามทางตรงกลางไปแล้วก็เดินขึ้นไปเรื่อยๆจนเจอประภาคารที่เรียกว่า Enoshima Sea Candle คือยอดเขาและสามารถเดินลงอีกข้างได้แต่เวลากลับต้องย้อนกลับทางเดิมเพื่อออกจากเกาะ
บนเกาะมีร้านค้าร้านขนมอยู่เยอะตามทางเดินขึ้นไปสู่ศาลเจ้าที่มีชื่อเดียวกัน ว่ากันว่าให้โชคด้านความรักด้วยนะ แต่เราเอาเหรียญใส่กล่องขอพรให้ฟูจิออกมาเถอะนะ
ระหว่างทางเดินขึ้นเขาจะมีร้านอาหารคาเฟ่ริมผาให้เลือกนั่งชิลๆได้เยอะเลย อย่างร้าน UMITO café ก็มีที่นั่งที่ระเบียงมองออกไปเห็นท่าจอดเรือแล้ววันนั้นเห็นคนโล้เรือใบข้ามทะเลจากคามาคุระและคิดว่าคงไปจบที่อีกฝั่งของอ่าว เล่นเรือใบข้ามทะเลแบบนี้เป็นสิบๆคนพร้อมๆกันเก่งจังเลยครับ
เดินมาเรื่อยๆพอมาถึงยอดแล้วเหลือบไปเห็นพอดี ฟูจิออกมาแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เจอกันหนึ่งวันเต็มๆวันนี้หิมะเต็มยอดเลย
อ่อมีอย่างนึง บนเกาะ Enoshima มีร้านเซ็มเบ้แผ่นยักษ์ขายเยอะมากแล้วคือเห็นในโซเชียลมาก่อนแล้วอยากลองมากเพราะเค้าใส่กุ้งหอยปลาหมึกทั้งตัวในแป้งไปเลย โหมันน่าตื่นเต้นมาก แล้วตรงยอดนี้มีที่นั่งมีร้านขายพอดี จัดมาหนึ่งอันแบบคอมโบราคา 1,000 เยน ได้มาแล้วตื่นตาตื่นใจมากเพราะลวดลายมันสวยซะเหลือเกินจนเกิดความคิดอยากซื้อเอาใส่กรอบไว้ดูที่บ้าน 555 แล้วรสชาติก็อร่อยด้วยนะ
กินเสร็จแล้วเดินต่อครับ หลังจากตรงนี้ก็จะเป็นทางเดินลงไปริมทะเล ระหว่างทางก็มีร้านข้าวหน้าตาน่ากินเยอะมาก พอดีเดินผ่านร้าน Enoshima Uomi-tei ที่อยู่ก่อนบันไดลงริมทะเลพอดี กลิ่นหอยกลิ่นปลาหมึกย่าง แล้วได้กินจริงๆด้วย โหเซ็ตปลาดิบอร่อยมาก ฟินโคตรๆ ร้านส่วนใหญ่นั่งดูวิวได้ด้วย
ริมทะเลเป็นโขดหินและมีคนญี่ปุ่นหนุ่มแก่มายืนตกปลากัน เดินไปสุดทางจะเจอสะพานสีแดงเหมือนแถวบ้านในซอยวัดพันท้ายนรสิงห์ที่สมุทรสาครแต่ที่นี่เค้าดูแน่นหนาถาวรมาก ของแถวบ้านทำแบบตามกำลังศรัทธา
ส่วนมุมตรงสะพานที่พยายามเช้าวันก่อนตอนนี้ไหนๆฟูจิออกมาเราเลยมาเก็บไว้ก่อน เห็นได้ว่ามีพระจันทร์ดวงใหญ่อยู่บนยอดฟูจิพอดีเลยด้วย
นอกจากบนเกาะ Enoshima แล้ว สถานีรถรางเดียว Shōnan-Enoshima Station เป็นตึกห้าหกชั้นที่สามารถขึ้นไปดูวิวได้ด้วย มองลงไปเห็นสถานีรถรางและถนนที่เดินไปสู่เกาะ Enoshima นั่นเอง
ในซอยเดียวกันมีร้านอาหารอยู่เยอะและในที่สุดหลังจากหามานานก็ได้กินข้าวหน้าปลาชิราสุหรือ Shirasu Don เมนูดังของเมืองคามาคุระที่เอาปลาตัวเล็กๆใสมาโปะข้าว มีทั้งแบบดิบและแบบสุกแต่แบบดิบจะหากินยากเพราะถ้าวันไหนจับปลานี้ไม่ได้เค้าก็ไม่มีขาย ปลาที่คามาคุระอร่อยมากจริงๆนะ
Shichirihama Beach
กระเถิบออกมาจาก Enoshima Island นิดหน่อย ริมหาด Shichirihama มีที่จอดรถแบบเสียเงินและตรงที่จอดรถถ่ายรูปสวยเพราะมองไปทางทิศตะวันตกเห็นเกาะ Enoshima และถ้าฟูจิออกมาก็จะอยู่ในเฟรมด้วยพอดี มีรูปมุมนี้สองวันเพราะวันที่สองที่คามาคุระฟูจิออกมาครี่งเดียวแล้วอีกวันเขามาเต็มๆเลยได้กลับมาแก้ตัวตรงนี้ แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกเวลามีเมฆบังดูมีอะไรกว่า
ฝั่งตรงข้ามกับที่จอดรถยังมีมุมถ่ายรูปรถราง Enoden คู่กับฟูจิด้วย วันนั้นวันเสาร์พอดีมีแก๊งรถซิ่งมอเตอร์ไซค์มาเบิ้ลเครื่องโชว์ทั้งวัน คือเหมือนเขาขับวนไปวนมาทั้งวันเหมือนอยากเอารถมาอวดสายตาชาวประชา
Komachi Street ย่านการค้าถนนโคมาจิ
ถนนโคมาจิที่อยู่ข้างๆกับสถานีรถไฟคามาคุระเป็นถนนคนเดินขายอาหารขายสินค้าของเมืองคามาคุระ คนแน่นคึกคักมาก อาหารที่ขายก็น่ากิน มีขนมรูปหน้าพระ เบียร์ยี่ห้อพระที่เดาไม่ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งนี้ไปขายที่เมืองไทย ถนนนี้เดินเล่นซื้อของฝากซื้อของที่ระลึกน่ารักๆได้แบบละลายทรัพย์มากๆ
รอบๆสถานีมีร้านขนมอะไรๆน่ากินเยอะมาก ที่เรากินกันไหวก็จะมีซอฟต์ครีมรสมัตฉะและโฮจิฉะ ร้านเบเกอรี่ช็อคโกแลต Chocolate Bank และร้านพุดดิ้งสุดเข้ม Marlowe กินขนมวันละสามเวลาจริงๆ
วัด Hasedera
วัดเก่าตั้งแต่สมัยยุคปีค.ศ. 700 วัดนี้สามารถลงรถรางสถานีเดียวกับวัดพระใหญ่ได้เลยชื่อสถานี Hase แต่รอบนี้ไม่ได้ไปดูพระใหญ่เพราะได้ยินมาว่าเสียเงินเข้าไปแล้วก็มีแต่พระใหญ่ๆองค์เดียวจริงๆ
ส่วนวัดนี้งานมาร์เก็ตติ้งของเค้าคือหินสลักรูปพระหน้าตาใสๆสามตัว แต่พอมาจริงแล้วก็ต้องอึ้งเพราะพระตัวน้อยๆนี่ตัวเท่าหน้าแข้งเท่านั้นและมีแค่ 3 ตัวนี้แหละ ส่วนที่เหลือคือพระหน้าตาผีๆที่มีจำนวนนับร้อย ผมคิดว่าพระที่วางอยู่มีฟังชั่นคล้ายๆกับม้าลายหรือไก่ชนในวัดไทยที่คนเอามาทำบุญที่วัดวางเรียงเป็นร้อยตัว ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงวัดศาลพันท้ายนรสิงห์แถวบ้านผม แต่ที่ไม่เหมือนคือที่ญี่ปุ่นเค้าเน้นคุมโทนคุมวัตถุดิบมากทำให้ดูแล้วกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
นอกจากรูปสลักหินแล้ววัดนี้มีจุดชมวิวให้มองดูทะเลคามาคุระยามเย็นได้เช่นกัน
Hokoku-ji สวนไผ่เล็กๆบรรยากาศเงียบสงบ
วัดโฮโคคุจิอยู่ใกล้ๆสถานีคามาคุระแต่มีบรรยากาศเงียบสงบนอกจากจะมีกรุ๊ปทัวร์เสียงดังนะ สามารถจอดรถได้หน้าวัดแต่ที่จอดมีจำกัด ถ้าไม่พอหน้าปากซอยมีให้จอดแบบเสียเงิน ตามสไตล์วัดญี่ปุ่นโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นไม้ท่อนใหญ่ หน้าวัดมีสวนเซนเล็กๆ
แต่ที่เป็นจุดเด่นของที่นี่คือสวนไผ่ด้านในที่ต้องจ่ายค่าเข้า ค่าเข้าจะมีทั้งแบบเข้าไปในสวนเฉยๆหรือแบบที่ไปนั่งกินชาได้ จำได้ว่าแพงพอสมควรเลยเข้าไปดูต้นไม้อย่างเดียว
แถมนิดนึง เย็นวันเดียวกันระหว่างที่แวะซื้อวัตถุดิบทำกับข้าวตอนเย็นอยู่ใกล้มุมถ่ายรูปรถราง Enoshima สวยที่หน้าวัด Ryuko-ji
Cape Inamuragasaki
มุมนี้ได้มาเช้าวันสุดท้ายที่คามาคุระของเรา เป็นเช้าแรกที่ฟูจิออกมาให้เห็นในช่วงเวลา twilight ช่วง blue hour มาที่นี่สามารถจอดรถแบบเสียเงินได้ตรงที่จอดตรงข้ามกับทางเข้าสวน เป็นมุมง่ายๆไม่ต้องคิดเยอะเลย ถ้าจะให้พูดถึงว่ายากตรงไหนคือจะถ่ายยังไงให้ฟูจิที่อยู่ไกลดูใหญ่อย่างที่ตาเปล่าๆเห็น
Osaki Park
สวนโอซากิเป็นสวนที่มีทางเข้าที่หายากมากถ้าเชื่อ Google Maps ถามผมได้เพราะหลงไปสามรอบจนเปิดหาข้อมูลจนเจอว่าทางเข้าอยู่ข้างๆหมู่บ้านคนมีตังค์บนเขา วิธีปักหมุดบน Google ให้ปักไว้ที่นี่ https://maps.app.goo.gl/UhHHS72Pq9d5SBgy5 หาที่จอดดีๆไม่รบกวนคนแถวนั้นแล้วเดินขึ้นซอยที่เป็นเนินชันๆไป พอเดินจนหอบใกล้ตายก็ให้รู้ว่าถึงครึ่งทางแล้ว แต่พอเดินไปจนถึงแล้วก็จะได้รับรางวัลเป็นภาพนี้ มีเกาะ Enoshima อยู่ใจกลางภูเขาไฟฟูจิพอดีเลย
เช้าวันเดียวกันได้เห็นปรากฎการณ์ที่อนิเมะเรื่อง Haikyuu!! เคยอธิบายไว้ เรียกว่า Mobbing คือนกตัวเล็กรวมหัวกันกระทืบนกตัวใหญ่กว่า ที่เห็นในรูปนี้คือฝูงอีกาบินไล่จิกไล่ทำร้ายนกสายพันธุ์เหยี่ยวที่เรียกว่า Black Kite เป็นนกที่เห็นได้ทั่วไปที่คามาคุระที่เท่มากๆ บางทีจะเห็นเค้าเหมือนหยุดนิ่งกลางอากาศเพราะเค้าลู่กับลมที่พัดไปทำให้ดูเหมือนไม่ได้ขยับไปไหน เป็นฉากที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็นเลย อีกาแถวนี้อย่างเข้ม
Cup Noodles Museum Yokohama
ดูนกฟาดกันเสร็จ 555 ก็ได้เวลาออกรถไปเมืองต่อไป ไปสู่โยโกฮาม่า เวลามีไม่มากที่นี่เป็นเหมือนเมืองทางผ่านของเรา
แวะที่แรกพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นของ Nissin Foods บริษัทของคุณ Momofuku Ando บิดาผู้ให้กำเนิดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในสมัยยุคหลังสงคราม ลูกค้าหลักของเค้าคือนักเรียนประถมที่โรงเรียนพามาทัศนศึกษา น้องๆมาเรียนรู้อุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งกันอย่างจริงจัง ห้องแรกคือจัดแสดงบะหมี่ตั้งแต่ในอดีตยุคเริ่มแรกไปจนถึงบะหมี่จากทั่วโลก มีมาม่าของคนไทยด้วยนะ
เป็นสถานที่ที่เหมาะมากๆในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆเพราะมีการเล่าประวัติศาสตร์การคิดค้นวีธีการทำบะหมี่ของคุณโมโมฟุกุ เล่าถึงความผิดพลาดล้มเหลว และความพยายาม ความคิดนอกกรอบพลิกแพลง ความช่างสังเกตของคุณคนนี้จนทำให้เค้าคิดวิธีทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำเร็จเป็นคนแรกของโลก นอกจากนั้นยังเล่าถึงความไม่หยุดพัฒนาตัวเองโดยการคิดค้นหีบห่อแบบใหม่เพื่อเปิดตลาดใหม่ในอเมริกาเพราะเค้าเห็นว่าฝรั่งชอบกินอะไรจากถ้วยเหมือนกล่องใส่มันฝรั่งทอด โหเรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจเยอะ เราอายุสามสิบกว่าแล้วยังว้าวเลย เด็กๆที่มาดูจะขนาดไหน
มีการจำลองห้องทดลองของคุณโมโมฟุกุที่ถูกใช้ในการค้นคว้าหาวิธีทำให้บะหมี่สามารถพองได้ตอนใส่น้ำร้อน เป็นแค่กะต๊อบธรรมดาๆเท่านั้นแต่เค้าสามารถคิดนวัตกรรมเปลี่ยนโลกได้ขนาดนี้
แถมตอนอายุเยอะแล้วปู่เค้ายังไม่หยุดทำงานแล้วให้บริษัทคิดวิธีทำให้บะหมี่เอาไปกินในอวกาศได้แล้วยังทำสำเร็จอีก โหทำงานจนวันตายจริงๆ อันนี้ไม่รู้ถูกใช้อย่างแพร่หลายมั้ยแต่มันแสดงให้เห็นถึงความไม่หยุดพัฒนาจริงๆ
คุณลุงหน้าตาแบบนี้ motto ของคุณลุง อย่ายอมแพ้ เพราะแกพลาดมาเยอะก่อนจะสำเร็จ
จ่ายเงินเพิ่มจากค่าเข้า 500 เยนเด็กๆ (หรือเด็กโข่ง) จะได้มีโอกาสเห็นโพรเสสในการบรรจุบะหมี่ลงถ้วย ถ้วยที่ได้มาจะวาดรูปอะไรลงไปก็แล้วผงปรุงรสและท็อปปิ้งต่างๆสามารถเลือกได้ตามในชอบ เสร็จแล้วก็จะได้บะหมี่ของตัวเองกลับบ้านหนึ่งถ้วยสนุกๆ อันนี้แนะนำให้รีบจองออนไลน์เพราะคิวจะเต็มเร็วมาก https://www.cupnoodles-museum.jp/en/yokohama/#attractions
สุดท้ายๆ มีโรงอาหารที่ขายเมนูเส้นที่มีเอกลักษณ์ของหลายๆประเทศเช่นพาสต้าของอิตาลี หมี่เย็นของเกาหลี หรือก๋วยเตี๋ยวต้มยำของไทย มีอีกแต่พูดไม่หมดไว้ให้ไปดูเองบ้าง อีกที่คือสนามเด็กเล่นที่สอดใส่ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ให้เด็กๆได้ปีนป่ายปลดปล่อยพลังงาน
Yokohama Red Brick Warehouse
ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์สามารถเดินไปที่ตึกอิฐแดงของโยโกฮาม่าได้ ไปถึงแล้วถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วเข้าไปกินข้าวด้านในได้ ไม่ค่อยมีอะไรนะครับ มีตึกด้านนอกสวยๆนิดหน่อย
Yokohama Chinatown
เข้าใจว่าคนส่วนใหญ่มาที่เยาวราชโยโกฮาม่าเพื่อมาหาของกินแต่ตอนมาถึงมันอิ่มแล้ว แต่ผมว่าดูจากหน้าตาอาหารจีนบ้านเราน่าจะอร่อยกว่าเยอะนะ มาดูตึกรามบ้านช่องไชน่าทาวน์ที่ญี่ปุ่นก็หน้าตาแปลกดี
จอดรถไว้ที่ไชน่าทาวน์แล้วเดินไปที่ Porin Bridge ไปดูต้นแปะก๊วยสองข้างทางถนน แดดกำลังเฉียงๆแบบนี้ได้รูปดีๆมาด้วย ชอบมากที่มีรถตำรวจ จะว่าไปไม่ได้เห็นใบไม้เหลืองหลายวันเพราะที่คามาคุระยังเขียวชะอุ่มกันอยู่เลย
มุมนี้เหมือนที่สิงคโปร์อุโมงค์ต้นไม้มั้ย 555
Daikoku Bridge & Daikoku Pier West Park
ต้องขับรถออกไปนอกเมืองข้ามสะพานไปจอดรถไว้ที่ใต้สะพานตรงนี้ https://maps.app.goo.gl/CHmGMBKUtTzR6q1f8 ความจริงอยากจะไปที่ Yokohama Bay Bridge Skywalk ที่ได้ภาพมุมสูงของเมืองโยโกฮาม่ากับฟูจิข้างหลังเลยไปช๊อยส์สำรองโดยการเดินขึ้นสะพาน Daikoku รอดูพระอาทิตย์ตก จะเสียวๆหลังหน่อยเพราะรถบรรทุกวิ่งผ่านตลอด แต่วิวข้างหน้ามันช่างสวยซะเหลือเกิน ขอบคุณฟูจิที่มาส่งเรานะ
สวนใต้สะพานก็เป็นอีกที่ถ้าคืนนี้ยังถ่ายรูปไม่พอ
ปิดจ๊อบโยโกฮาม่าเรียบร้อยกับภาพเมืองคู่ฟูจิฟินๆ คืนนี้ขับรถไปต่อถึงจุดหมายปลายทางของเราที่ตอนที่ 3 แฮร่! ไปที่โตเกียวที่เราจะใช้เวลาทั้งหมด 4 วัน 4 คืน
ขอย้ำอีกครั้งว่าฝากตามอ่านตอนอื่นๆของทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ด้วยครับ ยังมีอะไรสวยๆที่อยากอวดดูอีกเยอะเลย ฝากช่วยกดไลค์ติดตามเพจ ถ้าใครมีแรงช่วยค่าน้ำค่าขนมได้ที่ใต้โพสด้วยน้า ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/nopeopletravelphoto/ สำหรับตอนต่อไปติดตามได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยครับ
Comments