ถ้าใครเคยมาสิงคโปร์ก็จะรู้ว่าประเทศเล็กๆนี้ไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติเยอะแยะ นั่นทำให้ประเทศสิงคโปร์พยายามมากๆที่จะสร้างธรรมชาติขึ้นมาให้คนในประเทศได้ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจในเวลาว่าง
งานนี้ผมเองก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวสวนนกจูร่งเป็นครั้งแรกหลังจากมาอยู่ประเทศนี้ได้สามปีแล้ว ไปแบบไม่ได้มีความคาดหวังมากมายกะแค่ขำๆเพราะวันลางานเหลือก่อนสิ้นปีแค่นั้นเอง
วิธีการเดินทางไปสามารถไปได้ด้วยรถสาธารณะแต่ผมแนะนำว่าให้นั่ง Taxi ไปจะดีกว่าเพราะไปยาก มากๆ หาทางไปง่ายๆโดยการตามโลเคชั่นนี้เลยจ้า https://g.page/singapore-jurong-bird-park?share ส่วนค่าเข้านั้นก็ราคาไม่สูงเกินไปที่ 32 เหรียญสิงคโปร์หรือเทียบเท่าประมาณ 720 บาทเอง เดชะบุญช่วงนี้มีโควิดเลยได้ลด 20% เหลือ 25.60 เหรียญ ถ้าใครต้องการใช้บริการรถรางก็จะต้องเสียเพิ่มอีก 5 เหรียญ แต่เรางกเลยใช้เดินเอา
พอมาลงด้านหน้าสวนแล้วความคิดที่ว่าจะมาเที่ยวขำๆก็หายไปหลังจากรู้ว่าด้านในนี้เค้าเลี้ยงนกไว้มากกว่า 400 สายพันธุ์ และมีนกกว่า 5,000 ตัว ไม่แน่ใจว่านับพวกนกกระจอกนกเอี้ยงที่ชอบบินมาขโมยขนมเราด้วยรึเปล่า แผนที่ของสวนสามารถดูได้จากเว็บไซต์เพราะเค้าไม่มีแจกแผนที่กระดาษให้เป็นภัยกับเหล่านกๆตามธรรมชาติอีกแล้ว
เข้ามาแล้วสิ่งแรกที่เจอเลยก็คือเพนกวินนั่นเอง แบ่งให้เลยสองโซนเพราะส่วนใหญ่กวิ้นชอบหนาวๆ พวกนี้ก็จะอยู่ในตู้กระจกขนาดใหญ่เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำแถมมีเกล็ดนำ้แข็งพุ่งออกมาด้วย ที่เห็นยืนมุงๆกันนี่เพราะปากท่อแอร์อยู่ตรงนี้ เป็นห่วงจังว่าอากาศเย็นพอมั้ย พันธุ์นี้คือเพนกวินราชา (King Penguin) ขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเพนกวินทั้งหมด ตัวเท่าเอวเอง
มีการยืนเรียงหน้ากระดานเหมือนพลทหารอีกด้วย
ในตู้เค้าก็จะติดกระจกไว้ให้รู้สึกเหมือนห้องมันใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ไว้หลอกเพนกวิน แต่ตัวนี้เหมือนจะได้เพื่อนใหม่ในกระจก ยืนคุยกันนานมาก
นอกจาก King Penguin แล้วก็จะมีตัวน้อยๆชื่อว่าเพนกวินฮัมโบวท์ (Humboldt Penguin) อยู่ด้วยเป็นเพื่อนกัน สายพันธุ์นี้ตามธรรมชาติจะอาศัยอยู่ชายฝั่งแปซิฟิกของทวีปอเมริกาใต้ เย็นๆพอสมควรเลยให้มาอยู่ห้องแช่แข็ง
ส่วนเพนกวินที่ชอบอากาศอุ่นๆก็จะถูกเลี้ยงไว้กลางแจ้งกันเลยคือสายพันธุ์เพนกวินแอฟริกัน (African Penguin) ตามธรรมชาติจะอาศัยอยู่ตรงติ่งๆทางใต้ของทวีปแอฟริกานั่นเอง
นกอื่นๆที่ไม่เกี่ยวนี่คือเค้าก็มากันเองเพราะว่าแถวนี้นกอยู่ดีกินดีมาขออาศัยร่มใบบุญ น้องๆเค้าก็จะไปมุงๆตรงป้อมคนดูแลเพราะว่าถึงเวลาให้อาหารแล้วนั่นเอง มุงกันหน้าตาเคร่งเครียดเหมือนซอมบี้จะมากินศพตาคนให้อาหาร
เดินผ่านโซนเพนกวินมานิดเดียวก็จะเจอจุดถ่ายภาพที่ระลึกคู่กับนกแก้วสีสันสดใส เรายืนถ่ายกันด้านนอกอย่างเดียวเพราะต้องเสียเงินเพิ่มถ้าจะไปยืนกับนกๆแถมต้องระวังโดนอึใส่อีกด้วย
ตรงจุดถ่ายภาพนี้ก็จะมีน้องพนักงานยืนอยู่หนึ่งคน เหมือนหน้าที่คือการจัดเรียงนกๆตัวเล็กๆ ย้ายไปย้ายมาด้วยไม้ไว้ให้นกๆเกาะ งานแบบนี้ก็มีด้วย
ด้วยความที่พื้นที่สวนใหญ่มากและต้นไม้ร่มรื่น ไม่ใช่แค่นกเท่านั้นที่มาอยู่อาศัย เดินๆไปตามทางก็จะเจอทั้งกระรอก หนู และก็ตัวนี้เลย กิ้งก่าอีกัวน่า (Iguana) เดินไปเดินมา ระหว่างถ่ายภาพก็กลัวว่าเค้าจะเดินมาใกล้เกินไป กลัวจ้า
เดินต่อมาอีกนิดเดียวก็จะเป็นบ่อน้ำตื้นๆสำหรับนกฟลามิงโก้นั่นเอง ที่สวนนกจูร่งมีบ่อฟลามิงโก้อยู่ทั้งหมด 3 บ่อด้วยกันและแต่ละบ่อก็จะเป็นคนละสายพันธุ์ บ่อนี้คือฟลามิงโก้อเมริกัน (American Flamingo) สีส้มสวยงามละลานตาตัดกันพอดีกับต้นไม้สีเขียวด้านหลัง กะดูด้วยตาเปล่าน่าจะมีเกินร้อยตัวด้วยกัน
จนวันนี้ยังไม่มีการยืนยันชัดเจนว่าทำไมฟลามิงโก้ต้องยืนขาเดียว แต่ที่ยืนแล้วไม่ล้มได้เพราะฟลามิงโก้สามารถหยุดการทำงานของสมองได้หนึ่งข้างทำให้การทรงตัวทำได้ง่าย ล้ำขนาดไหน
ด้านหลังบ่อฟลามิงโก้คือโซน Hawk Arena หรือเวทีแสดงนกเหยี่ยวล่าเหยื่อ แต่ช่วงนี้มี Covid-19 เลยไม่มีการแสดง :( ตรงนี้มีกรงนกอยู่ที่เค้าเอาไว้เลี้ยงนกสำหรับโชว์ที่เกษียณอายุแล้วด้วย เป็นนกๆคุณตาคุณยายที่เคยเป็นดาราดังของสวนในอดีต แก่แล้วแต่ยังหล่อๆสวยๆกันอยู่เลย ข้างๆกันกับโซนนกเหยี่ยวจะเป็นศูนย์เพาะเลี้ยงนกเด็ก สามารถเข้าไปดูนกที่เพิ่งฟักและนกเด็กๆได้เช่นกันครับ
ไปต่อที่อีกบ่อฟลามิงโก้ อันนี้เป็นพันธุ์ฟลามิงโก้เล็ก (Lesser Flamingo) ที่ตัวเล็กกว่าและสีชมพูมากกว่าส้ม บางตัวกำลังหาปลากินกันอยู่เลย เอาปากจุ่มน้ำแล้วซักพักก็งับปลาขึ้นมา บางตัวก็ยืนเอาหัวซุกใต้ปีกหลับกันอยู่เหมือนก้อนๆขาวๆปักบนแท่งไม้
ฟลามิงโก้บ่อสุดท้ายและเป็นบ่อที่ใหญ่ที่สุดเป็นพันธุ์ฟลามิงโก้ใหญ่ (Greater Flamingo) มีนกเยอะเลยแต่ว่านกเค้ายืนอยู่ไกลมากถ่ายภาพให้เห็นชัดๆเหมือนบ่อก่อนๆไม่ได้เลย
ข้างๆบ่อนี้คือบ่อนกกระทุง (Pelican) นกตัวใหญ่มากและบางตัวพอเห็นเราเดินมาริมๆบ่อก็ว่ายมาใกล้มาก คือตัวใหญ่จนเราก็หวั่นๆ 555
ว่ายมาใกล้ๆเราสงสัยคิดว่าจะมาให้อาหาร หิวมากจนบางตัวเริ่มกินกันเอง
โซนต่อไปเป็นกรงนกแก้วหลากหลายสายพันธุ์ Parrot Paradise ไม่เคยรู้เลยว่ามีนกแก้วมากมายหลายสายพันธุ์ขนาดนี้ ตัวแรกก่อนเลยที่สะดุดตาคือตัวดำๆหน้าตาเคร่งขรีมดูบ้ายศบ้าอย่างเล็กน้อยโดยการมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ครั้งนี้ยอมให้ก่อนเพราะหน้าตาเค้าได้
ตัวนี้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Red-tailed Black Cockatoo แปลไทยก็ประมาณนกกระตั้วดำหางแดง
อีกนกแก้วที่อลังการมากๆคือไฮยาซิน มาคอว์ (Hyacinth Macaw) เป็นนกแก้วสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาจากอเมริกาใต้ ถ้าใครเคยดูการ์ตูนเรื่อง Rio ก็จะรู้จักเป็นอย่างดี
ในกรงเดียวกันมีอีกนกแก้วมาคอว์อีกสายพันธุ์นกแก้วมาคอว์น้ำเงินอกเหลือง (Blue and Yellow Macaw) มีอิริยาบถหลากหลายน่ารักดีครับ
วันนี้ถึงไม่มีการแสดงบนเวทีแต่นับว่าโชคดีที่นกๆเค้าก็มีแสดงให้เราดูอย่างใกล้ชิด ถึงจะเป็นนกแต่ก็มีจรรยาบรรณ มีเด็กน้อยเดินมาเค้าก็เลิกทันที พ่อแม่น้องเค้าเป็นหนี้นกแก้วที่ไม่ต้องหาคำอธิบาย ว่าแต่นกตัวแดงโอเคมั้ยครับทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้น
คือมีหลายกรงมากๆจะให้อธิบายหมดคงต้องทำเป็นหนังสือ รวมๆแล้วได้ความรู้ดีมากครับ
ถึงจะบอกว่าเป็นโซนนกแก้วแต่ไม่รู้ทำไมถึงมีนกๆอื่นๆมาแจมด้วยเยอะแยะ
ติดอยู่อย่างเดียวคือกรงโซนนี้ค่อนข้างเล็กเลยทำให้รู้สึกสงสารเหล่านกๆ ความยากอีกอย่างคือต้องถ่ายภาพทะลุซี่ลูกกรง เทคนิคการถ่ายทะลุกรงเล็กคือให้ใช้เลนส์ซูม ใช้รูรับแสงที่กว้างเล็กน้อย และจ่อหน้าเลนส์ไว้ที่ซี่กรงอย่างภาพด้านล่างเพื่อให้กรงเบลอละลายหายไป เวิร์คเป็นส่วนมากแต่ถ้าองศาแดดไม่ดีก็ไม่สามารถเบลอได้หมดอย่างที่เห็น ทำใจได้อย่างเดียว
ถัดมาคืออะไรที่ไฮโซอลังการมากๆคือ Waterfall Aviary คือกรงนกขนาดใหญ่ที่มีน้ำตกอยู่ด้านใน น้ำตกนี้เป็นของเทียมที่สร้างขึ้นมา แต่ไม่ธรรมดาที่เป็นอันดับ 4 น้ำตกเทียมที่สูงที่สุดในโลก ด้านในเป็นพื้นที่ใหญ่เหมือนเป็นเนินเขาย่อมๆและพื้นที่ขนาดนี้มีกรงครอบอยู่อีกที เป็นไฮไลท์ที่ห้ามพลาดจริงๆ
ด้านในกรงขนาดใหญ่นกๆต่างๆก็สามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงธรรมชาติ บินไปมาได้มียอดไม้จริงให้เกาะ เห็นแล้วก็ดีใจกับนกๆที่ไม่ต้องอยู่ในกรงเล็กบินไปมาได้นิดเดียว ปัญหาคือเราหานกไม่ค่อยเจอนี่สิ
หลังจากนี้ไปยังมี Aviary หรือกรงขนาดใหญ่ที่นกสามารถบินเป็นพื้นที่กว้างได้อีก อันถัดมาคือ Lory Loft ซึ่งมีนก Lory เป็นหลัก คนไทยเรียกว่านกโนรี เป็นนกแก้วขนาดเล็กสีสันสดใส เข้ามาด้านในเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าวร่าเริงบินโฉบไปมา
พี่พนักงานดูแลนกเค้าเล่าให้ฟังว่านกแก้วตัวเล็กๆพวกนี้เค้าเป็นคนดูแลเองตอนยังเด็กๆอยู่ แล้วเพิ่งจะเอามาปล่อยในกรงใหญ่ให้อยู่กับเพื่อนๆ นกพวกนี้เลยคุ้นเคยกับคนมากบางทีก็บินมาเกาะนักท่องเที่ยวจนพี่พนักงานต้องมาคอยปัด คนดูแลนกเค้าก็ดูร่าเริงไม่ต่างกับนก เวลาคุยกับนกก็จะใช้ระดับเสียงเดียวกับนกเลยทีเดียว รักกันเหมือนเป็นครอบครัวเห็นแล้วเราก็พลอยมีความสุขไปด้วย
Aviary ถัดมาเป็นกรงใหม่ที่ Jurong Bird Park เพิ่งเปิดให้บริการไม่นานมานี้คือ African Treetops ด้านในมีสะพานไม้ให้เดินได้บรรยากาศการผจญภัยเล็กๆ
กรงนี้รวบรวมนกกิ้งโครง (Starling) สายพันธุ์จากแอฟริกาไว้มากมาย สีสันสวยงามเงาวับเหมือนรถสปอร์ตเคลือบสีเปลี่ยนตามอุณหภูมิยังไงยังงั้น นกแถวนี้ไม่ค่อยกลัวคนบินเข้ามาขอข้าวกินเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าพอเรามาถึงอาหารหมดไม่มีขายซะแล้ว พนักงานบอกว่าจะให้ดีควรจองล่วงหน้ามาก่อนเพราะเป็นที่นิยมมาก
ยังมีนกสีสันเหมือนชมพู่อยู่ด้วย หน้าตาดูใสซื่อบ้องแบ๊วเป็นอย่างมาก ชื่อว่า Red-crested Turaco
เดินไปก็เจอเข้ากับนกเงือกพันธุ์แอฟริกัน คล้ายๆกับในเรื่องไลอ้อนคิง
ออกใกล้ๆกันกับโซนนกแอฟริกาคือโซนรวมมิตรนกเงือก มีนก Toucan ด้วยปากเหลืองส้มดูแล้วเหมือนมะม่วงหน้าตาน่ารัก
ที่สุดท้ายก่อนถึงทางออกเป็นโซนนกที่ใช้ชีวิตในที่ชุ่มน้ำหรือ Wetlands ส่วนใหญ่จะเป็นนกที่ขายาวๆไว้เดินในน้ำตื้นๆคอยหาปลา ตอนแรกเราก็คิดว่ามีแค่นกกระยางนกกระสา มาที่นี่ถึงรู้ว่ามีตัวใหญ่ๆหน้าตาดุดันอย่างตัวสีเทา Shoebill หรือนกกระสาปากพลั่วอยู่ด้วย พอกางปีเต็มแล้วความยาวมากกว่า 2 เมตร!
จบวันแล้วกับ Jurong Bird Park หลังจากเดินดูมาได้ร่วม 6 ชั่วโมงตั้งแต่เช้าจรดเย็น มาแบบไม่คาดหวังและถึงวันนี้มาจะไม่มีการแสดงให้ดูแต่ได้ความสนุกไปเต็มๆ การจัดการดีสถานที่สวยงามได้ความรู้และแรงบันดาลใจไว้ไปตามหาดูนกๆในธรรมชาติในการท่องเที่ยวครั้งต่อไป
ท่านใดสนใจติดตามอ่านโพสในอนาคตอย่าลืมกดไลค์เพจ No People Travel Photoบนเฟซบุ้กไว้ด้วย https://www.facebook.com/nopeopletravelphoto ขอบคุณครับ
Comments