ขับรถเที่ยวไต้หวัน ไทเป > จี้หลง > ไท่ผิงชาน เสน่ห์ที่ไม่ได้มีแค่เปลือก
- Opp
- 16 มี.ค. 2567
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 7 ต.ค. 2567

เดือนที่เดินทาง - กุมภาพันธ์ 2024
นานๆโพสทีนึงเพื่อนๆผู้อ่านยังไม่ลืมกันใช่มั้ยครับ คราวนี้เลือกไปเที่ยวสั้นๆที่ไต้หวันกัน เป็นประเทศที่เคยมองข้ามไปแล้วคิดว่าหลายคนก็เป็นเหมือนกัน วันนี้เลยอยากเอามาเล่าให้ฟังหน่อยว่าไปแล้วมันมีอะไรให้เที่ยวมั่งมั้ยเนี่ย
ไปเที่ยวรอบนี้เวลาน้อยหน่อย 6 วัน 5 คืนเท่านั้นเองก็เลยจำกัดที่เที่ยวแค่ใกล้ๆไทเป
จี้หลง (Keelong อ่านยังไงจี้หลงว้า)
หมู่บ้านโหวต้ง (Houtong Cat Village)
อี๋หลาน และ ไท่ผิงชาน (Yilan and Taipingshan)
ไทเป (Taipei หรือจริงๆออกเสียงว่าไถเป่)
ถ้าใครไปช่วงเดียวกันนี้แนะนำให้เอาเสื้อกันหนาวติดไปด้วยและเช็คอุณหภูมิก่อนเดินทาง เพราะผมเองคิดว่าจะอากาศเย็นๆสบายๆแต่เวลาฝนตกมันหนาวมาก รองเท้าผ้าใบที่เดินสบายๆก็ดีเช่นกัน
วันแรกในไต้หวัน - ลงเครื่องบินแล้วรับรถเช่า
สิ่งแรกที่รู้สึกตอนออกจากเครื่องแล้วคือสนามบินเถาหยวนเค้าโมเดิร์นมากๆ คืออาจจะดูเก่าบางที่แต่เห็นได้เลยว่าระบบเค้าทันสมัยทำงานรวดเร็วมีประสิทธิภาพมาก คิวต.ม.ที่เดินมาแล้วกรีดร้องว่ายาวมากแต่เอาเข้าจริงใช้เวลาห้านาทีก็ผ่านแล้ว สำหรับขั้นตอนการรับรถจะงงเล็กน้อยคือคนจากบริษัทเช่ารถจะยืนถือป้ายรอหน้าทางออกแล้วเค้าจะให้พนักงานเอารถมารับไปออฟฟิศในอีกที่หนึ่ง แต่ไม่มีปัญหาอะไรรถใหม่เอี่ยมน้ำมันเต็มถังพร้อมไปเที่ยวแล้ว
ถนนหนทางก็ทำดีนะครับรถไม่ติดเลยถึงแม้จะเห็นมอเตอร์ไซค์เยอะ วันนี้เราข้ามไทเปไปก่อนแล้วมุ่งหน้าสู่จี้หลงก่อนเลย สำหรับการขับรถพวงมาลัยจะอยู่คนละข้างกับประเทศไทยและการขึ้นทางด่วนก็ทำได้เลยโดยระบบเค้าจะบันทึกทะเบียนไว้แล้วไปจ่ายค่าทางด่วนตอนคืนรถทีเดียว ประทับใจอีกแล้ว
กว่าจะถึงจี้หลงก็เริ่มเย็นแล้วครับแล้วเราเข้าพักที่โรงแรม Evergreen Laurel Hotel ที่ตั้งอยู่ริมน้ำเลย ในใจนี่คือกะว่าแดดเปรี้ยงๆวิวแจ่มๆ แต่มันเห็นแววตั้งแต่เครื่องลงแล้ว

พอวางของพักผ่อนนิดหน่อยรอดูฝนจะหยุดมั้ย ดูทรงแล้วพี่เค้าตกทั้งคืนเราเลยตัดสินใจไปเดินเล่นลุยฝนกันดีกว่า พนักงานโรงแรมก็แนะนำครับว่าแถวโรงแรมมี Keelong Tower ที่เป็นแลนด์มาร์คใหม่เอี่ยมของจี้หลงเลย เราก็เลยเดินไปดูแล้วไปเจอทางเดินขึ้นแบบในรูปที่ต้องเดินขึ้นเขาด้วย เดินไปซักพักก็เห็นว่า อ้าวมีลิฟท์ให้ขึ้นนี่หว่า
บนยอดเขาก็จะเห็นวิวของท่าเรือกับตัวหนังสือบนเขาสไตล์ Hollywood ว่าแต่ตึกเค้าโทร๊มโทรมนะครับมองดูแล้วมันได้บรรยากาศอะไรบางอย่างดำมืด เอาจริงๆอากาศดีมากครับ ตากฝนทั้งคืนก็ยังไม่ป่วย เด็กๆทางบ้านไม่ควรทำตาม
ลงลิฟท์แล้วเดินเที่ยวในเมืองดูชีวิตผู้คนตึกรามบ้านช่อง การเดินทางในเมืองนี้มีรถสาธารณะครอบคลุมดีมากครับถึงแม้จะห่างจากเมืองหลวงออกมา ส่วนที่รถไม่ไปก็เดินเอาเพราะเป็นเมืองที่ออกแบบมาให้เดิน ทางม้าลายต่างๆรถจอดให้คนข้ามก่อนเสมอ
ส่วนการมาไต้หวันนั้นกิจกรรมบังคับคือต้องไปตลาดไนท์มาร์เก็ต ซึ่งเมืองจี้หลงก็มีอยู่ที่ Keelung MiaoKou Night Market ส่วนใหญ่ขายอาหาร มีทั้งข้าวทั้งกินเล่น ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารทอดๆตามแบบฉบับความอร่อย หรือร้านเต้าฮวยบัวลอยงาดำอร่อยมากๆเหมือนกัน
กินข้าวกันแล้วฝนยังไม่หยุดตกอี๊ก เลยเดินตากฝนกลับโรงแรมนอนกันเลยครับ พรุ่งนี้เช้าเราเริ่มใหม่
วันที่สอง ที่เที่ยวริมทะเลเมืองจี้หลง
เช้านี้ฝนไม่ตกแล้ว เช็คเอาท์จากโรงแรมและขับรถไปเที่ยวกันเลยที่ใกล้ๆคือท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing Harbor) การจัดการที่เที่ยวดีมากๆครับ มีที่เที่ยวก็ต้องมีที่จอด เชิญทุกท่านไปจอดที่นี่เลยครับ https://maps.app.goo.gl/jRW5gDzh3SZeAUqx9 การจ่ายเงินก็ง่ายมากไม่ต้องมีลุงป้ามานั่งเฝ้าให้เมื่อย กดตู้ตรงทางออกจ่ายก่อนออกได้เลยใช้บัตรเครดิตเดบิตก็ได้ ประทับใจต่อ
ส่วนแลนด์มาร์คที่โดดเด่นของที่นี่คือตึกหลากสีริมน้ำดูๆไปเหมือนที่เมืองโคเปนฮาเก้นมั้ยนะเนี่ย บ้านเรือนเค้าก็เล็กๆโบราณๆมีบรรยากาศย้อนยุคดีครับ
ถ้าทุกคนเดินไปจนหัวโค้งของอ่าว (เค้าเรียกงี้ป่าวน้า) จะเห็นเค้าปิ้งๆอะไรกันอยู่ดูแล้วมันน่าสนใจ เลยขอเค้าซื้ออันนึง อ่อมันคือปลาหมึกหลอดแต่มันสดมาก คือเนื้อจะนิ่มๆหนึบๆยืดๆเล็กน้อยต่างจากที่เคยกิน อร่อยดีครับ ดูสิพึ่งย่างเสร็จใหม่ๆควันพวยพุ่ง

ภาพอื่นๆในพื้นที่ คือระหว่างเดินกับรถมีลุงแถวนั้นมาชี้ๆบอกว่าไอ้หนุ่มเอ็งไปถ่ายรูปตรงตีนสะพานสิวะ ภาพสวยนะ (เดาเอา 80% เพราะภาษาจีนโคตรอ่อน) ชาวบ้านแถวนี้เค้าก็สนับสนุนการท่องเที่ยวกันดีนะ
เช้านี้ไปต่อครับ Heping Island GeoPark ค่าเข้า 120 เหรียญไต้หวันต่อคน เป็นที่เดินเที่ยวริมน้ำมีหินรูปร่างประหลาดมีจุดชมวิวบนเขาด้วย
เดินมาริมน้ำจะได้เจอกับสระว่ายน้ำทะเลแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ระหว่างที่เดินมาเค้าก็กำลังล้างตะไคร่อยู่เลย มีทั้งสระผู้ใหญ่สระหมาสระเด็กพร้อม! ตามโขดหินมีปูด้วยนะนี่
พอเดินมาถึงป้อมปราการที่เห็นอยู่ตรงกลางสวนตรงนั้นเป็นที่ขายของที่ระลึกที่อาบน้ำที่ขายอาหารด้วย เดินไปเห็นสลัชชี่ยาคูลท์ ต้องกินเลยแบบนี้ อร่อยดีครับ

เดินเลยป้อมมาก็จะเห็นทางเดินขึ้นเขาแล้ว มองลงไปเห็นอ่าวที่จากมาในมุมสูงด้วย
พอมองออกไปก็จะเห็นหินงอกๆออกมาจากพื้นหน้าตาพิลึกๆด้วย แต่ละจุดเค้าก็จะมีอธิบายว่าหินไหนหน้าตาเหมือนอะไร มองออกไปที่เห็นคือเกาะจี้หลงก็อยู่นอกชายฝั่ง
จุดแลนด์มาร์คจุดชมวิวของเราเจอแล้วครับ ด้านข้างเค้าว่าเป็นหินหน้าตาเหมือนเต้าหู้ เหมือนอยู่นะ
ทีแรกก็คิดว่าเค้าจะให้เราเดินออกไปตรงหินนี้ด้วยแต่ปรากฎว่าเหมือนมันต้องขออนุญาตเป็นการเฉพาะเท่านั้น ไม่เป็นไรดูตรงนี้ก็ได้ :(
วนครบรอบเขาแล้ว ไปเที่ยวต่อกันเถอะ ที่ต่อไปคือวั่งโยวกู่ (Wangyougu) เป็นเขาและหน้าผาริมน้ำไม่ไกลไปจากเกาะเหอผิง ทางไปต้องขับรถขึ้นเขาไปและถนนค่อนข้างแคบเพราะแบบนั้นควรขับด้วยความระมัดระวังนะครับ พอขึ้นเขามาแล้วก็จะมีที่จอดให้อย่างดีเหมือนเดิม นอกจากค่าจอดแล้วไม่ต้องเสียค่าเข้าแล้วครับ สิ่งที่เห็นอันดับแรกคือบันไดสีขาวนี้เพื่อเดินลงไปในหุบเขาด้านล่าง

เดินลงมาจากบันไดแล้วจะเห็นทางแยกก็เลือกเดินได้เลยเพราะจะไปจบที่เดียวกัน ถ้าเดินเข้าไปทางนี้จะเป็นทางที่ไม่ต้องเดินขึ้นแต่ก็จะไม่เห็นวิวทะเลนะ

ส่วนคนที่เลือกหนทางแห่งความลำบากคุณจะได้รับรางวัลเป็นวิวทะเลวิวผาสวยๆแบบนี้เลย ใหญ่โตอลังการ แต่ขั้นบันไดยังไม่จบ! เอาจริงๆเดินไปก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่เลยครับเพราะอากาศกำลังดีใส่เสื้อยืดไม่ร้อนไม่หนาวลมแรง
เป็นฤดูใบไม้ผลิมาซักพักแล้วแต่ก็มีดอกไม้ริมทางอยู่ตลอดทาง มองลงไปก็เห็นคนกำลังยืนตกปลาแบบโคตรเท่อยู่ ยืนบนหินแล้วมีคลื่นสาดกระเซ็นเป็นฉากหลัง พี่ออกมาจากอนิเมะรึเปล่า
พอเดินไปสุดทางก็จะเห็นวิวอ่าวหรือท่าเรือด้านล่าง คล้ายๆวิวริมทะเลที่ญี่ปุ่นเลย จะว่าไปธรรมชาติสองประเทศนี้ก็คล้ายๆกันนะ (จริงๆไม่สุดแต่เดินต่อไปลุงๆแถวนั้นบอกว่ามันลงเขาแล้ว รถผมอยู่ข้างบนโน้น)
นี่ๆมองย้อนไปข้ามเนินมาสองลูก แล้วก็ต้องเดินกลับทางเดิมเพื่อไปเอารถ บันไดเยอะจริงๆ
เดินเหนื่อยแล้วแดดก็เริ่มร้อนเลยแวะไปที่สวนเฉาจิ้งหรือ Chaojing Park แล้วหาข้าวกินกันครับ ทีนี้รถมันเยอะมากเลยแบบที่จอดก็ไม่พอ ถ้าเจอเหตุการณ์นี้ก็ลองขับรถตามถนนใหญ่ดูจะมีรู้ให้จอดบางจุดแล้วเดินกลับมาตรงนี้ได้ ลงรถมาแล้วมีวิวสวยๆอีก
ร้านข้าวก็เดาๆเอาโดยดูว่าร้านไหนคนเยอะ ร้านก๋วยเตี๋ยวนี้คนเต็มเลย รอนานด้วย น่าจะอร่อย

สรุปว่าเมนูร้านเค้าก็ภาษาจีนล้วน แต่ขอบคุณความรู้ด้านภาษาที่มีนิดหน่อยพร้อมกับแอพ Google Translate เจ้าเก่าทำให้ได้ก๋วยเตี๋ยวกับปลาหมึกตัวเล็กๆมากิน คือเหมือนปลาหมึกเป็นสินค้าประจำท้องถิ่นเค้าเพราะในพื้นที่มีเรือไดหมึกเยอะเลย ปลาหมึกที่นี่รสชาติเข้มข้นสงสัยเป็นเพราะตัวมันเล็กอัดแน่นด้วยรสชาติ
กินข้าวเสร็จจริงๆก็กะว่าจะไปเที่ยวที่อื่นริมทะเลต่อแต่ไม่รู้ทำไมนะหาที่จอดรถยากมาก ทำไมนักท่องเที่ยวเยอะขนาดนี้ เลยตัดสินใจออกจากเมืองนี้ไปเลยดีกว่า ตามแผนจะไปหมู่บ้านแมวโหวต้งหรือ Houtong Cat Village แล้วจบวันนี้ที่จิ่วเฟิ่นหรือ Jiufen แต่พอมาถึงแล้วกรี๊ดมาก รถเยอะแน่เอี๊ยดทั้งๆที่ถนนเล็กรถต้องสวนกัน แล้วที่จอดล้นมาก อุตส่าห์เลือกมาวันธรรมดาแล้ว ปรากฎว่าเสิชกูเกิลเจอว่าวันนี้วันหยุดราชการของคนไต้หวันจ้า ยังดีที่มีบุญหาที่จอดได้ตรงสุดทางพอดีแล้วเดินกลับมาไกลเล็กน้อย
ทางเข้าหมู่บ้านอยู่ติดกับสถานีรถไฟเลยสะดวกมากๆถ้าใครไม่มีรถแล้วอยากมา ฝนตกหนักมากครับพอขึ้นเขามาแล้วเจอกับเมฆที่ติดยอดเขาไปไหนไม่ได้ ช่างต่างกับเวลาอยู่ริมทะเลเมื่อตะกี้นี้ หมู่บ้านนี้ในอดีตเป็นที่อยู่ของคนทำเหมืองถ่านหินตั้งแต่สมัยที่ญี่ปุ่นยังปกครองไต้หวันอยู่เลย
เห็นชื่อสถานที่แล้วก็แน่นอนว่าหมู่บ้านนี้ชื่อดังเรื่องแมวเยอะ ตามทางเดินก็จะเห็นน้องๆนอนบนหญ้าเดินไปมาตากฝนกันอยู่ ถ้าฝนไม่ตกน่าจะมีเยอะกว่านี้อีกนะ ถ่ายรูปมานิดเดียวเพราะตรงไหนมีแมวจะมีนุดมายืนมุงเยอะมาก
นอกจากนั้นก็จะมีคาเฟ่แมวหลายร้าน ร้านขายของแมวๆ ทาสแมว อะไรแมวๆเยอะไปหมดเลยหมู่บ้านนี้
นั่งกินน้ำกินขนมซักพักหวังว่าฝนจะหยุดแต่ก็ไม่หยุด แล้วมองดูคนที่มาเที่ยววันหยุดแล้วก็เลยคิดว่าจิ่วเฟิ่นนี่คงไม่เหลือที่ให้เดินแน่ๆ เลยตัดสินใจขับรถออกไปเลยดีกว่าเพราะไปไกลพอสมควร คืนนี้เราจะไปนอนค้างที่อี๋หลาน ประตูสู่อุทยานไท่ผิงชาน
วันที่สาม ไท่ผิงชาน
ที่พักแถวนี้ส่วนใหญ่จะอยู่บนเขาหมดเลย แล้วตอนมาถึงก็ไม่ได้คาดคิดว่าต้องขับรถขึ้นเขามืดๆทางแคบๆ หัวใจจะวาย แต่พอออกมาตอนเช้าแล้วบรรยากาศดีมาก ที่พักอยู่นี่ครับ https://maps.app.goo.gl/VjLp5VLqgxgMc7jX7
กินข้าวเช้าที่โรงแรมแล้วประมาณ 8 โมงเช้าเริ่มออกเดินทางเลย ต้องขับรถไปอีกชั่วโมงกว่าขึ้นเขา ทางที่ขับไปก็จะลดเลี้ยวเคี้ยวคดมากอยู่ค่อยๆขับไปเพราะว่าแถวนี้มีรถบรรทุกบางแล้วเค้าขับกันเร็วมาก ทางไปก็ง่ายมากครับขับตาม Google Map ไปที่นี่ได้เลย https://maps.app.goo.gl/q9zhY6jR5ERRAYip9
ส่วนค่าเข้าและค่าที่จอดแบบเหมานั้นก็ดูได้ตามนี้เลยครับ ราคาเข้าอุทยาน
พอจ่ายเงินแล้วทางจากนี้ไปนี่แหละของจริง! ถนนเค้าดีมากนะครับบอกก่อนแต่ว่าโค้งมันยุกยิก hairpin มาจุกๆ ส่งเต้าหู้เต้าหู้คงแตกเละ ไม่พอมองไปริมทางมันสูงมากจนขับรถแล้วมันหวาดเสียวมาก ไม่คาดคิดว่าเขาเค้าจะสูงขนาดนี้

จุดแรกที่จะไปคือเส้นทางเจี้ยนฉิง หรือ Jianqing Huaigu Trail เป็นเส้นทางเดินตามธรรมชาติป่าสนที่เมื่อก่อนเป็นเส้นทางลำเลียงท่อนซุงตามรางรถไฟ แต่ก่อนจะไปถึงต้องเอารถไปจอดที่จอดรถที่ห่างไป 1.3 กิโลเมตร ที่จอดรถใหญ่มีห้องน้ำบริการสะอาดด้วย ตามลิงค์นี้
พอจอดแล้วก็ต้องเดินย้อนกลับไปหาเส้นทางเดินครับ ทีนี้เค้าก็ทำเป็นทางเดินริมผาไว้ให้อย่างดีเลยจะได้ไม่ต้องไปลงถนนเดินให้อันตราย คิดมาดีจริงๆครับ มองลงเห็นหุบเขาด้านล่าง
พอมาถึงปากทางเข้าแล้วที่เหลือก็เดินไม่ไกลครับไม่เกิน 1 กิโลเมตรแล้วก็เดินราบๆ แต่ความสวยสุดยอดเลย จะเห็นว่าทางเดินถูกดัดแปลงมาจากรางรถไฟแต่มีการปรับระดับพื้นดินให้เดินแล้วไม่สะดุดหัวทิ่ม
การถ่ายรูปในร่มไม้สำหรับผมถือว่ายากมากๆเลยครับโดยเฉพาะเวลาที่แดดแรงๆเพราะมันจะทำให้มีคอนทราสจัดมากๆ แต่โชคดีมากที่ระหว่างเดินเข้ากับเดินออกได้สภาพแสงทั้งสองแบบเพื่อนชอบแบบไหนมากกว่ากันครับ ระหว่างทางก็จะมีให้เห็นตลอดคือรางรถไฟที่ยกอยู่เหนือพื้นและมีมอสมาเกาะกินผุพังไปตามกาลเวลา สิ่งของมนุษย์สร้างจะแข็งแรงแค่ไหนก็ต้องล่มสลายต่อหน้าธรรมชาติซักวันจริงๆ
เดินเข้ามาก็จะมีเขื่อนที่เค้ากักน้ำจากบนเขาไว้ให้ได้ล้างมือล้างขาตามชอบ น้ำเย็นเจี๊ยบสดชื่นมากๆ
นอกจากเดินเฉยๆแล้วก็ยังมีโอกาสให้ทุกคนได้สัมผัสกับบรรยากาศผจญภัยด้วยสะพานแขวนสะพานสวยๆสองสามจุดด้วย
รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่ในร่มเงาต้นไม้ได้เห็นสายน้ำใสตามธรรมชาติ อยากให้ทุกที่มีพื้นที่แบบนี้ให้คนได้พักผ่อนนะครับ ระหว่างเดินกลับไปเอารถมองออกไปข้างนอกแล้วเห็นหมอกกำลังไหลลงมาจากเขาข้างหน้าพอดีเลย สวยจัง
ไปต่อๆ จุดต่อไปคือ Taipingshan Village แวะกินข้าวก่อน ที่จอดรถก็อาจจะเต็มๆแต่เค้าก็สร้างที่จอดไว้ให้หลายจุด บางจุดต้องเดินก็จะว่างหน่อย อายุยังน้อยเดินเอาเลย พอเดินมาถึงแล้วก็จะเจอกับเสานี้กับนกฮูกนี้
ร้านข้าวหาไม่ยากแค่เดินขึ้นบันไดสูงลิ่วข้างตึกไปจะอยู่ทางขวา ร้าอาหารจะเป็นสไตล์ไม่มีทางเลือกโดยทุกคนจ่ายเท่ากันคนละ 300 เหรียญไต้หวันแล้วเค้าก็ยกกับข้าวมาให้แบบนี้เลย ข้าวกินเท่าไหร่ก็ได้เพราะต้องตักเอง กับข้าวก็พอได้ครับ บางอย่างรสชาติคุ้นเคยบางอย่างงงๆ

กิจกรรมที่คนส่วนใหญ่ต้องทำก็คือไปนั่งรถไฟป๊งป๊งที่ Bong Bong Train Taipingshan Station สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปมีตามนี้ครับ
ถ้าใครนอนค้างแรมที่ Taipingshan Village สามารถเอาใบเสร็จชำระเงินมาแลกตั๋วฟรีได้
รถไฟไม่ทำการทุกวันอังคารที่ 4 ของเดือนสำหรับซ่อมบำรุง
ราคาและเวลารถออกตามนี้ครับ สมมตินั่งรอบ 13:30 เค้าแนะนำให้กลับมารอบ 15:00 และเราจะได้สิทธิ์ขึ้นก่อนในกรณีรถเต็ม แต่ถ้าจะกลับรอบหลังจากนั้นก็ได้แต่คุณอาจจะไม่ได้ไปถ้าเต็มก่อน

ซื้อตั๋วแล้วก็รอขึ้นแถวนี้แหละครับ แล้วต้นซากุระตรงนี้บานอยู่ด้วย เกินความคาดหมายมาก
รถไฟมาแล้วนั่งได้แถวละสามคนคันละเก้าคน ก็เลือกกันตามจำนวนคนในคณะได้เลย ใครอยากถ่ายรูปก็นั่งคันท้ายๆหน่อยเวลาเค้าเข้าโค้งจะได้เห็นหัวขบวน (ขาไปนั่งริมซ้าย ขากลับนั่งริมขวา)

มองออกเห็นภูเขาข้างหน้าถูกปกคลุมด้วยหมอกแล้ว ฝนจะตกแน่ๆเลย

นั่งมาประมาณ 30 นาทีมาถึงแล้วสถานีเม่าซิ่ง ตรงนี้มีเส้นทางให้เดินสำรวจ 3 เส้นทางให้เลือกได้ตามสะดวกเลย มีแบบที่เดินลงก่อนแล้วเดินขึ้น แบบเดินขึ้นก่อนแล้วเดินลง หรือแบบเดินราบๆ รู้เลยว่าจะเลือกแบบไหน 555
จะเห็นว่าเส้นทางก็จะเป็นรางรถไฟเหมือนกันเพราะเป็นเส้นทางขนส่งท่อนซุงเหมือนเดิม รถไฟที่นั่งมาก็คือดัดแปลงมาจากรถขนไม้นี่เอง ต้นไม้ที่นี่ต้นใหญ่ยักษ์มาก คนเข้าไปยืนในโพรงไม้ได้เลย
บอกให้ระวังหัวแต่ทำไมเดินผ่านแล้วไม่โดนหัว!
เดินจนจบแล้วกลับมาถึงสถานียังพอมีเวลาก็ไปลองดูทางอื่นนิดๆหน่อยๆ ถ้าใครเดินเร็วจะเก็บหมดเลยก็ได้นะ แต่อย่าลืมมาให้ทันรถรอบสุดท้าย ดวงตาธรรมชาติ!
กลับออกมาจากป่าแล้วหมอกลงหนักมาก เวลาก็เริ่มเย็นเลยคิดว่าควรกลับลงเขาดีกว่าก่อนจะมืดเพราะถนนที่ต้องกลับไปก็คือทางแสนโหดร้ายที่ขับขึ้นมา ดูสิหมอกลงหนักมาก

เดินมาตรงที่จอดแล้วต้นไม้พวกนี้สวยมากเวลาอยู่หมอกที่ต้นไม้ด้านหน้าถูกแยกจากฉากหลังที่นัวๆ
อันนี้ให้ดูสภาพตอนขับรถลงเขา แล้วถ้ามืดอีกก็ตายไปเลย 555
ก่อนจะออกจากอุทยานไปถ้าใครสนใจก็แวะที่น้ำพุร้อนจิวจือเจ๋อ หรือ Jiuzhize (Renze) Hot Springs ตรงนี้ถ้าจะไปแช่น้ำต้องเสียเงินไม่แพงมากครับแต่ว่าไม่มีเวลามากเลยไปต้มไข่ในน้ำพุร้อนอย่างเดียว :( ค่าไข่หกฟอง 100 เหรียญ ค่าเช่าตะกร้า 20 แต่ต้องจ่ายมัดจำ 200 แต่ได้คืนตอนเอามาคืนครับ
สนุกสนานกับการต้มไข่แล้วขับรถกลับที่พักก่อนเลย คำเตือนครับ แถวนี้หากินยากพอสมควรและปิดเร็วด้วยเพราะแบบนั้นควรมองหาร้านข้าวไว้ก่อนเวลาก็ดี ขับรถตระเวณหากันแป๊บนึงก็เจอร้านนี้ปิดดึกกว่าเพื่อน อร่อยดีครับ https://maps.app.goo.gl/gmZCCJZuZnqkgQrZ9
หรือถ้าหมดหนทางจริงๆมีเซเว่นอยู่ตรงนี้ https://maps.app.goo.gl/wh1UQfhTdht6YZPk6
วันที่สี่ห้าหก ไทเปฝนตกเยอะมาก
เป็นดวงแบบบไหนที่ไปไหนฝนก็ตกมากมาย ตอนนี้เริ่มกังวลว่าเราเป็นคนดวงฝนตกรึเปล่านะ 555 ตอนขามาไม่ได้เล่าครับ ทางด่วนที่ขับไปและกลับไท่ผิงชานกับไทเปถนนล้ำมากครับ คือไต้หวันเนี่ยเป็นภูมิประเทศภูเขาสูงเป็นส่วนใหญ่ ลำบากหลังเขามากๆ แต่ว่าทางด่วนเค้าเนี่ยเป็นอุโมงค์ทะลุภูเขาเชื่อมต่อเมืองใหญ่เข้าด้วยกันทำให้ความเจริญระหว่างเมืองหลวงกับเมืองอื่นๆไม่ได้ต่างกันมากเลย อุโมงค์บางจุดมีความยาวเกิน 20 กิโลเมตรอีก หมดเวลาขับรถอ้อมเขาสองพันโค้งที่ทำให้ดูเหมือนสนุกแต่เป็นความเสียโอกาสของคนห่างไกล ประทับใจมากกับสิ่งนี้
เอารถไปคืนที่ร้านเช่ารถแล้วเค้าก็เอาเรามาส่งที่สนามบินเพื่อจะนั่งรถไฟฟ้าเข้าเมือง บัตรรถไฟฟ้าแบบเติมเงินของไต้หวันใช้ได้กับหลายอย่างมาก รถเมล์ รถไฟ กระเช้าขึ้นเขา ที่จอดรถ ร้านสะดวกซื้อ ความฝันของคนไทยหลายคน
สารภาพก่อนว่าพลาดโอกาสเที่ยวในไทเปแบบเต็มๆเพราะฝนตกตลอดเวลาเช้ายันเย็น สองวันติดๆ ได้ไปเดินถนนคนเดินชื่อดัง ได้ถ่ายรูปนิดหน่อย อันนี้ขอติดเพื่อนๆไว้ก่อน ถ้าได้กลับไปแก้ตัวจะขอไปดูให้ครบ ครั้งฝากรูปตึก Taipei 101 ไว้ก่อน ได้ภาพจากจุดชมวิววันสุดท้ายก่อนกลับ ฝนหยุดตกพอดี โชคเราเป็นอะไร!
หวังอยากให้ตอนจบมันมีอะไรกว่านี้แต่อากาศไม่เป็นใจ ยังไงก็แล้วแต่หวังว่าผู้อ่านจะมีโอกาสได้ไปสัมผัสกับไต้หวันด้วยตัวเอง ถ้าทุกคนเอนจอยกับโพสนี้ หรือได้แรงบันดาลใจก็ช่วยกดไลค์ติดตามเพจด้วยน้า ขอบคุณครับ
Comments