เดือนที่เดินทาง - พฤศจิกายน 2024
เมืองท้ายสุดของ Road Trip ญี่ปุ่นฤดูใบไม้ร่วง สวัสดีโตเกียว ในใจตอนที่วางแผนก็คิดว่ามาโตเกียวตั้ง 3 ครั้งแล้วขี้เกียจมาแล้ว แต่เอาเข้าจริงไม่ได้มาที่นี่ 5 ปีมันรู้สึกแปลกใหม่กว่าที่คิดเยอะเลย อะไรๆก็เปลี่ยนไปเยอะมาก
ก่อนอื่นอยากฝากอีกครั้งถ้าใครยังไม่ได้อ่านตอนก่อนหน้าจากทริป 15 วัน 14 คืนนี้ อ่านได้จากลิงค์ด้านล่างเลยครับ
ตอนที่ 3 ใช้เวลา 4 วัน 4 คืน และที่เที่ยวตามนี้เลย
วันที่ 1: Meiji Jingu Gaien Gingko Avenue / Harajuku และ Yoyogi Park / Shinjuku Kabukicho / Shibuya
วันที่ 2: Ginkgo Trees of the University of Tokyo / BOUL'ANGE / Bunkyo City Office / Odaiba Rainbow Bridge
วันที่ 3: Senso-ji / Tokyo International Forum / Yebisu Garden Place
วันที่ 4: Ueno Park
คืนรถที่โตเกียวแล้วเพราะใครขับรถที่โตเกียวคงต้องรวยประมาณนึงเนื่องจากค่าจอดรถที่แพงหูฉี่ ยังไงก็หวังว่าเราจะมีวันนั้นในอนาคต 555 คืนรถที่ Ueno เสร็จแล้วออกมาเจอรถไฟเข้าสถานีพอดี เวลาตอนนี้คือ 1 ทุ่มแต่ฟ้ามันมืดเหมือนเราเป็นเด็กเหลวไหลดึกดื่นไม่กลับบ้าน
Meiji Jingu Gaien Gingko Avenue
เช้าวันแรกที่โตเกียวเริ่มแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงของเรามาพีคกันที่โตเกียว คิดว่าดูกันจนฉ่ำแบบไม่อยากเห็นไปอีกสองปี ที่แรกที่ไปชมแต่เช้าก่อนจะกินข้าวซะอีกคือ Meiji Jingu Gaien Gingko Avenue ถนนที่ขนาบด้วยสวนที่มีต้นแปะก๊วยเรียงยาวเป็นแนว ยามฤดูใบไม้ร่วงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ยิ่งตอนแดดส่องลงมาใบสีเหลืองสะท้อนแดดระยิบระยับ
พอได้เห็นของจริงทำเอาตื่นเต้นมากๆเพราะมันเจิดจ้าซะเหลือเกิน แต่คิดดูแล้วสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำยากอะไรเลยเพียงแต่เมืองให้คุณค่ากับคนทุกคนโดยเฉพาะคนเดินและคนปั่นที่มีปริมาณมากกว่าคนขับ เพียงแค่มีต้นไม้ปลูกไว้สองฝั่งถนน การดูแลก็น้อยนิดเพราะเมื่อต้นไม้หยั่งรากแข็งแรงแล้วเค้าก็ดูแลตัวเองได้ พอมองแล้วก็ได้แต่นึกฝันว่าบ้านเราจะมีแบบนี้เยอะๆหลายๆที่ให้คนได้มาพักผ่อนสุนทรีย์กับธรรมชาติ คิดว่าจะช่วยให้คนไทยใจเย็นลงบ้าง พันธุ์ไม้ไทยยามออกดอกก็สวยไม่แพ้เขาเหมือนกัน
คืนก่อนฝนตกมีน้ำขังรอการระบายเล็กน้อย เป็นเหตุให้คนมามุงน้ำขังกันใหญ่ อ่อเค้ามาถ่ายภาพน้ำสะท้อนต้นไม้ข้างบนนี่เอง เดินๆอยู่แดดเข้าแดดออกสลับกัน พอแดดออกเมื่อไหร่ก็ต้องรีบงัดกล้องขึ้นมากดรัวๆ สวยไม่ไหว
Harajuku และ Yoyogi Park
ห่างจากที่ก่อนหน้าไม่ไกลไปหาข้าวกินใกล้ๆสถานี Harajuku แล้วเดินมาดูหน้าวัดเมจิ รอบนี้สัญญาว่าจะไม่เข้าเพราะไปมาแล้ว 2 รอบ แต่เดินมาเห็นซุ้มประตูโทริอิของวัดเค้าดูสีสว่างๆเหมือนพึ่งทำความสะอาดใหม่ ดูแล้วไม่ชินเลย เช้านี้อากาศชื้นจากฝนตกเมื่อคืนเห็นแดดสองเป็นเส้นสวยเมจิ-คอลมาก
จากหน้าวัดเมจิ เดินไปทางทิศตะวันตกเพื่อจะไป Yoyogi Park สวนนี้เป็นอีกแหล่งดูใบไม้เปลี่ยนสี ดูกันให้ตาแฉะ พอเมืองมีต้นไม้ใหญ่เยอะมันก็ทำให้อะไรๆดูสดใสขึ้น รถบรรทุกธรรมดาก็ดูสวยขึ้นมาได้
แค่หน้าสวนก็ทำให้ต้องหยุดถ่ายรูปอยู่เป็นสิบนาที 555
ด้านในสวนมีคนมาพักผ่อนดูต้นไม้กันเยอะ แล้วที่น่ารักมากคือคุณครูพาเด็กอนุบาลมาเที่ยวด้วย แล้ววิธีการพาเด็กมาก็คือเค้าจูงมือกันเดิมตามถนนมา บางคนตัวเล็กมาก็ใส่ซาเล้งเข็นมา เมืองที่เดินได้มันทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตของคนได้หลายมุมมองมากๆ ทั้งเด็กคนแก่ก็เดินกันได้สะดวกปลอดภัย
ถ้าหาไม่เจอว่าตรงไหนใบไม้เปลี่ยนสีสวยก็แค่มองดูว่าตรงไหนมีคนอยู่เยอะก็เจอแล้ว แดดเช้านี้สวยงาม
อยู่ข้างๆสวนถ้าปักหมุดบน Google Maps ว่า Shibuya Gate Observation Deck จะพาเราข้ามถนนไปชิบูย่าได้ แต่ว่าอย่าแค่เดินผ่านเพราะสะพานข้ามนี้ก็สวย ถามว่าตรงไหนไม่สวยอาจจะง่ายกว่า
Shinjuku Kabukicho
แว๊บๆมาถ่ายรูปนิดเดียวแถวชินจุกุนิดนึง เพราะมากี่ทีก็ไม่เคยมาเห็นตรง Shinjuku Viewpoint จริงๆน่ามาตอนเย็นมากแต่เวลาเราไม่พอ แถมซอยที่มีก็อดซิลล่าอีกอันด้วย
Shibuya แยกชิบูย่าและจุดชมวิวบนตึก
มาชิบูย่าหลังจาก 5 ปีรู้สึกว่าเค้าเปลี่ยนไปเยอะมาก ตึกที่เคยเห็นหายไปตึกใหม่ๆโผล่มาเยอะมาก ได้จุดชมวิวใหม่เยอะเลย อย่างด้านล่างเป็นมุมจาก Shibuya Hikarie ชั้น 11 ตรงนี้เป็นล็อบบี้อาคารสำนักงานบนตึกนี้แต่เค้าก็ให้คนนอกเข้ามาดูวิวได้ฟรีๆ แต่มุมนี้เป็นวิวผ่านกระจกเวลาถ่ายต้องเล็งดีๆให้องศาไม่มีแสงสะท้อน ดูเหมือนเค้าไม่ให้กางขาตั้งกล้องตรงนี้เพราะงั้นก็ต้องใช้ ISO เยอะหน่อยนะครับ มายืนตรงนี้ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเห็นฟูจิจากตรงนี้ด้วย
ฟ้ายังสว่างอยู่ไปต่ออีกยอดตึกที่ Tokyu Plaza Shibuya ชั้น 17 ตรงนี้ก็ไม่ให้ใช้ขาตั้งกล้องเช่นเดียวกัน ลองแล้วครับ เจ้าหน้าที่ตึกเดินมาตักเตือน แต่มีวิวสวยๆตรงนี้เยอะมากโดยเฉพาะตรงที่มองไป Ropponggi Hills
มุมที่มองลงมาตรง 5 แยกก็สวยมากเพราะตอนนี้มีห้างใหม่ Miyashita Park ที่ทำให้แถวนี้ดูเป็นอวกาศมากขึ้น บนดาดฟ้าของห้างเดียวกันนี้มีสถาปัตยกรรมโดราเอมอนกับปาร์แมนการ์ตูนวัยเด็กที่คุ้นเคย
Ginkgo Trees of the University of Tokyo ต้นแปะก๊วยของมหาวิทยาลัยโตเกียว
คืนก่อนได้ไปนั่งกินเบียร์ที่ร้าน SHIBUYA TSUTAYA SHARE LOUNGE ร้านนี้ประทับใจมากเพราะจ่ายเงินค่าเข้ารายชั่วโมงแล้วจะกินจะดื่มเท่าไหร่ก็ได้ มีเครื่องดื่มหลากหลายมีเบียร์สด มีอาหารกินเล่นกินจริง ราคาแบบนี้เลย
พอเล่าเรื่องกินแล้วยาวไปหน่อย ขอกลับมาต่อที่เที่ยว คืนก่อนดื่มไปพอสมควรแต่วันนี้ก็ยังไม่ทิ้ง ออกแต่เช้ามาดูต้นแปะก๊วยที่มหาวิทยาลัยโตเกียวหรือถ้าใครชอบอ่านมังกะก็จะรู้ว่าคนญี่ปุ่นเรียกว่าโทได ย่อจาก Tokyo Daigaku
ตอนที่เดินเข้ามาในรั้วมหาลัยรู้สึกเกร็งเล็กน้อยเพราะว่าหน้าเราก็ไม่กลมกลืนเท่าไหร่แล้ว แถมมหาลัยเค้าดูมีแต่คนหน้าตาฉลาดๆ 555 แต่พอเดินมาถึงตรงถนนที่มีอุโมงค์ต้นไม้ก็เห็นได้ว่านักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปทำคอนเทนต์กันอย่างเป็นกันเองก็ทำให้ผ่อนคลายลงหน่อย มันสวยมากจริงๆ ประเทศญี่ปุ่นเหมาะแล้วที่เป็นที่ที่ใครๆไม่ว่าจะเป็นฝรั่งแขกเอเชียต่างก็อยากมาเยือน ขนาดมหาวิทยาลัยยังเป็นที่เที่ยวมีชื่อเสียงได้ การสร้างทัศนียภาพสวยงามมันอยู่ในตัวตนของเค้าจริงๆ
ไปแล้วก็อย่าลืมเลี้ยวซ้ายตรงกลางซอยเพื่อไปเจอต้นแปะก๊วยต้นใหญ่ ตอนที่ไปยังไม่เหลืองเต็มที่เท่าไหร่เสียดายนิดหน่อย
BOUL'ANGE Tokyo Dome City Meets Port
ถ่ายรูปเสร็จแล้วเกิดหิว ก่อนมาโตเกียวเห็นในโซเชียลมาเยอะมากและอยากจะต้องกินให้ได้คือเบเกอรี่ ในรูปมันช่างน่ากินเหลือเกินเลยได้มาเจอกับร้านนี้ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ก่อนหน้าและที่ที่จะไปต่อจากนี้ จะบอกให้ว่าตอนเดินเข้าร้านไปเหมือนเด็กได้ไปสวนสนุก เหมือนโอตาคุได้ไปอากิฮาบาระ มันแวบวับไปหมด อยากกินให้ครบทุกอันเลย คือปกติจะไม่ได้ถ่ายรูปอาหารขนาดนี้แต่มาเจอที่มันอดใจไม่ไหว
มีขนมเยอะมากแต่กินกันได้แค่นี้ โคตรเศร้า! จะเห็นว่าผมจัดพายแอปเปิ้ล (ที่เป็นรูปทรงใบไม้) มาด้วยเพราะอยากรู้ว่าร้านนี้จะอร่อยกว่ายี่ห้อที่กินประจำมั้ย คือผมกำลังตามหาพายแอปเปิ้ลที่อร่อยกว่าร้าน Chateraise อยู่ จนวันนี้ก็ยังไม่มีใครเอาเค้าลง ใครมีผู้ท้าชิงรบกวนชี้ช่องด้วย
ร้านนี้เป็นเฟรนไชส์นะครับ ไม่จำเป็นต้องถ่อมาถึงนี่ถ้าไม่อยู่แถวนี้
Bunkyo City Office
เดินจากร้านขนมมาด้วยความอาลัยและอยากลองกินเมนูอื่นๆ เดินมุ่งหน้าไป Bunkyo City Office ไม่ได้ไปหาผู้ว่าเมืองแต่อย่างใดแต่ว่าตึกนี้ให้คนทั่วไปขึ้นไปดูวิวบนยอดตึกฟรีๆ แล้วไม่ค่อยมีคนมาด้วย มุมนี้มีความพิเศษคือครั้งก่อนเคยมาแล้วเพื่อจะถ่ายรูปฟูจิระยะไกลแต่ตอนนั้นฟูจิเล่นตัว วันนี้ได้สมใจแล้วแต่มันแย่ตรงที่มีตึกที่พึ่งสร้างใหม่มาบังทางซ้ายเลยต้องซูมสุดกระบอกเลนส์เพื่อไม่ให้ติดตึกนั้นมา
จุดชมวิวนี้เห็นได้ 180 องศามองไปอีกด้านเห็น Tokyo Skytree ด้วย สูงตระหง่านมาก
ตรงทางเข้าตึกมีสถานีรถไฟ Tokyo Metro ที่อยู่ในตึกด้วย รถไฟสาย Marunouchi สีแดงแสบสันสวยงามมาก รถใต้ดินที่โตเกียวเค้าทำสวยมากโดยแต่ละสายมีเอกลักษณ์ของตัวเองให้แฟนรถไฟได้สะสมรูปและของที่ระลึกกันฉ่ำๆ
Odaiba Rainbow Bridge
ที่เที่ยวสุดท้ายวันนี้หลังจากไปกินข้าวกลางวันที่ร้าน Motomura Gyukatsu นั่งรถไฟไร้คนขับมาที่สถานี Daiba หาที่ถ่ายรูปสะพานสายรุ้ง ลงสถานีปุ๊บเห็นอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ
กันดั้มยูนิคอร์นขนาดแบบ 1 ต่อ 1 ถ้าโลกมีกันดั้มตัวจะเท่านี้เลยหรอ ถ้าวันนึงญี่ปุ่นสร้างโมบิลสูทได้จริงเค้าจะยึดครองโลกมั้ย ผมว่าไม่เพราะจีนจะทำได้ถูกกว่าแน่นอน 555
สำหรับรูปเย็นนี้ตัดสินใจไปที่ Fuji Television Headquarters “HACHITAMA” Spherical Observation Room เป็นห้องดูวิวทรงกลมบนยอดตึกสำนักงาน Fuji TV ช่องโทรทัศน์เก่าแก่ของญี่ปุ่น บันไดขึ้นเหมือนจะไปไหว้พระดอยสุเทพ มันช่างสูงซะเหลือเกิน แต่ไม่ต้องกลัวมีบันไดเลื่อน
ค่าเข้าที่นี่เสียหาย 800 เยน ก็รู้ว่าเค้าไม่ให้ใช้ขาตั้งกล้องนะแต่เราก็แค่วางกล้องไว้ที่ขอบที่นั่งริมกระจก คนก็ไม่เยอะแต่พนักงานเดินมาดุว่าไม่ให้เอากล้องวางตรงเก้าอี้แล้วนั่งเฝ้า หา! แต่คนอื่นก็เอาโทรศัพท์วางไว้เหมือนกัน มันต่างกันตรงไหนเนี่ย พอพยายามจะถ่ายรูปพนักงานมายืนเพ่งตลอด ทำเหมือนเราขอเค้าเข้ามาฟรีๆงั้นแหละ เซ็งมากๆ วิวก็พอได้แต่ใครจะมาก็คิดถึงข้อนี้ด้วยนะ
ตรงนี้มองเห็นฟูจิโผล่ยอดออกมาเห็นด้วย
ส่วนมุมหลักของเค้าก็คือมองออกไปเห็นสะพาน Rainbow Bridge และโตเกียวทาวเวอร์ไกลๆ ว่าแต่สะพานนี้สีรุ้งกี่โมงครับ
สำหรับคนที่อยากถ่ายรูปมีขาตั้งแล้วอยู่ห้องทรงกลมแล้วทำไม่ได้แนะนำให้เสี่ยงโชคโดยการลงมาชั้นนึง ชั้นนั้นก็มีหน้าต่างเห็นวิวเดียวกันแต่ดูแล้วไม่ค่อยมีพนักงานเฝ้าเท่าไหร่ อันนี้มาเห็นตอนขาลงมาแล้ว วันนี้เลยไม่ได้ซ้อนภาพพระอาทิตย์ตกกับไฟสะพานตอนกลางคืนเลย
เซอร์ไพรส์ช็อต คงจะคิดว่าได้รูปตอนเย็นแล้วเราจะเลิก พอดีขากลับมีผ่านอีกที่บน skywalk เหนือ Old Shibarikyu Gardens Children's Park จะได้มุมนี้เลย ผ่ามพ้าม โตเกียวเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองที่ถ่ายรูปหลังช่วงเวลาโพล้เพล้แล้วยังสวยอยู่เพราะเมืองเค้าเปิดไฟบนตึกฉ่ำมาก
หลังถ่ายรูปโตเกียวทาวเวอร์แล้วก็กะว่าจะไปดูไฟคริสต์มาสที่ Ginza อยู่นะ แต่แวะกินข้าวกินเบียร์ เดินๆเจอร้านอิซากาย่าใต้สะพานแบบนี้แล้วมันว้าว อยากได้รับประสบการณ์มนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นบ้างเลยนั่งเลย ตอนเดินเข้าไปก็ไม่รู้ร้านอะไรแต่ไปตามหาจนเจอ ร้านนี้ Motsuyaki Fuji
พอนั่งแล้วสั่งสาเกคนละขวด รู้ตัวเมาพูดไม่หยุดบนรถไฟฟ้ากลับที่พัก แผนดูไฟคริสต์มาสเป็นอันล่มไป
วัด Senso-ji
คืนก่อนเมาเหล้าเช้ามาวัดขอไถ่โทษกับพระเจ้า ที่พักอยู่ใกล้วัดเซ็นโซจิแต่รอจนวันสุดท้ายถึงได้มา มาโตเกียวกี่ครั้งก็มาเจอ แต่รอบนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นใบไม้ส้มใบไม้เหลือง อุตส่าห์มาเช้าแต่ยังไม่ทันกรุ๊ปทัวร์อยู่ดี
วัดนี้ผ่านไป 5 ปีเค้ารวยขึ้นเยอะ มีสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆเต็ม โคมแดงตอนนี้ใหม่เอี่ยมสีสดเลย
Tokyo International Forum
กินข้าวเช้ากันแล้วนั่งรถไฟมาลงที่เมโทรสถานี Hibiya อีกครั้ง เดินเล่นกินขนมไปเรื่อยแต่มีจุดหมายที่ Tokyo International Forum วันนี้แดดดีสีสันสดใสเหมือนเคย แท๊กซี่เหลืองกับต้นไม้เหลือง
Tokyo International Forum มีฟังชั่นเป็นศูนย์ประชุมศูนย์จัดงานต่างๆ แต่ที่มาไม่ได้จะมาดูงานอะไรแต่ตึกเค้าสวยโมเดิร์น ช่วงกลางวันแดดสองเข้ามาในตึกได้ภาพแปลกๆตรงคนเดินด้วย เอาจริงๆมาตรงนี้เพราะมาเที่ยวหลายวันเริ่มรู้สึกหมดที่เที่ยว 555
Yebisu Garden Place
มาเที่ยวญี่ปุ่นกินเบียร์เกือบทุกวัน เพราะฉะนั้นวันนี้มาเรียนรู้ประวัติบริษัท Yebisu บริษัททำเบียร์เก่าแก่ของญี่ปุ่น ด้านในมีนิทรรศการเล็กๆให้ได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์กว่าจะมาเป็น Yebisu วันนี้
Yebisu เริ่มแรกเปิดโรงงานตรงที่นี้จนต่อมาเกิดเป็นสถานีรถไฟ Ebisu ที่สร้างขึ้นเพื่อขนเบียร์ไปขายตามที่ต่างๆ และย่านนี้ก็ได้ชื่อ Ebisu ตามโรงผลิตเบียร์ เห็นได้เลยว่าบริษัทเค้ามีอิทธิพลของการเกิดขึ้นของเมืองนี้ขนาดไหน
ออกมาจากสถานีรถไฟก็จะเจอกับรูปปั้นเทพเจ้า Ebisu ที่เป็นโลโก้เบียร์ Yebisu และก่อนหน้าจะเป็นยี่ห้อเบียร์เค้าเป็นเทพเจ้าแห่งความเจริญรุ่งเรื่องรำ่รวยมาก่อน โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับการประมงเพราะดูดีๆเค้าอุ้มปลาอยู่
เดินจากสถานีมาประมาณนึงก็จะได้เจอกับอาคารอิฐสีแดงเท่ๆอยู่ตรงแยกไฟแดงเลย เป็นตึกโรงงานตั้งแต่สมัยปี 1890 ตอนนี้เป็นบาร์ไปแล้ว
เดินหลงอยู่นานในที่สุดก็หาเจอ เข้าไปแล้วเจอกับรูปปั้นเทพเบียร์อีกครั้ง แล้วเอาเทพมาเป็นลายบนพื้นด้วย สวยดีๆ
เดินเข้ามาจะได้เจอกับหม้อต้มเบียร์ (เรียกงี้ป่ะ?) อันใหญ่มากอยู่ในตู้โชว์ เลี้ยวซ้ายจะเจอกับนิทรรศการประวัติศาสตร์ของยี่ห้อ Yebisu มีรูปเก่าแก่เยอะเลย มีของสะสมเป็นที่เปิดขวด มีขวดเบียร์รุ่นแรกๆ ลังเบียร์หน้าตาเก่าๆ ประวัติศาสตร์ยาวนานจริงๆ ดีเทลเยอะมากแต่ควรได้ไปดูด้วยตัวเอง
เอ้าๆมาถึงไคลแม็กซ์แล้ว ไม่ใช่ถ่ายรูปแต่เป็นร้านเบียร์ที่ทำไว้ให้คนที่เดินดูประวัติจนอยากกินเบียร์ ตรงนี้มีเมนูแบบให้ชิมทีเดียว 5 รสชาติด้วย tasting menu แบบที่เอาให้เมา เค้าให้เราดูนิทรรศการฟรีๆแล้วได้เงินเราจากการขายเบียร์นี่เอง หัวหมอมากๆ
คงคิดว่าตาคนนี้จะกินแต่เบียร์แล้วกลับเลยล่ะสิ จริงๆแล้วไคลแม็กซ์ของจริงวันนี้คือ Yebisu Garden Place Tower ชั้น 38 เป็นชั้นที่มีร้านอาหารดีๆเยอะแต่ว่าเค้าจัดที่ไว้ให้ดูวิวฟรีๆอีกด้วย ย้ำอีกทีว่าฟรี แล้วใครจะกางขาตั้งเค้าไม่ว่าเลย แต่เราก็ต้องรู้จักเกรงใจคนอื่นๆใช้ที่ให้น้อยที่สุดด้วยนะ
อันนี้จริงๆขึ้นมาเช็คมุมก่อนจะไปดูมิวเซียมเบียร์แล้วล่ะ มองไปทางนึงเห็นย่านชิบูย่าและอีกข้างเห็นโตเกียวทาวเวอร์และอาซาบุได
มองไปอีกฝั่งก็ยังเห็นฟูจิอีก ตอนอยู่แถวนั้นไม่เห็นหรอก พออยู่ไกลๆนี่เห็นจริ๊ง โกรธๆๆ
พระเอกของคืนนี้ ตอนถ่ายควรระวังเงาไฟสะท้อนบนกระจกด้วยนะครับ
ลงมาเสร็จยังไม่จบ ด้านล่างมีไฟคริสต์มาสที่พลาดคืนก่อนเพราะดื่มเยอะไปหน่อย โหเวลาอากาศหนาวอะไรแบบนี้มันดูสวยขึ้นจริงๆ ที่นี่เที่ยวคุ้มมากแล้วคนก็คึกคัก แค่เค้าทำที่เที่ยวให้คนได้มาฟรีๆแต่มันก็ช่วยสร้างรายได้ทางอ้อมให้เค้าได้ดีมาก ถ้าเค้าอยากเก็บเงินก็คงทำได้แต่คงไม่ได้เห็นคนมาจับจ่ายแถวนี้เท่านี้ ประทับใจๆ
Ueno Park
วันสุดท้ายแล้ววันที่ 15 คิดถึงบ้านแล้วอยากกลับไปทำงาน (เผื่อหัวหน้าเข้ามาเห็น) แผนคือไปสนามบินด้วยรถด้วน ด่วน! Skyliner ขึ้นที่ Keisei Station เริ่มด้วยการเอากระเป๋าไปใส่ตู้ล็อกเกอร์ที่สถานีและซื้อบัตรจองเวลาให้เหมาะสมกับรอบบิน แล้วก็ไปเดินเที่ยวต่อได้เลย อันดับแรกกินข้าวก่อน ภรรยาเคยอยู่ญี่ปุ่นเลยพาไปร้านเด็ด Isomaru Suisan Ueno 6 Chome เป็นร้านอิซากายะที่ไม่รู้ทำไมสั่งอะไรมาก็อร่อย ข้าวจี่ก็อร่อยเพราะมีใส่คานิมิโสะ มันปูใส่มิโสะ
การที่มาเห็นอุเอโนะทำให้นึกในใจว่าทำไมระบบบ้านเค้าทำงานได้ดีขนาดนี้ รถไฟเข้าสถานีถี่ๆแล้วทุกขบวนมี 6 - 12 ตู้ ค่ารถก็ถูกมาก วิ่งเร็วมาก คนเดินถนนข้ามถนนได้แบบสบายในไม่ต้องกลัวมอเตอร์ไซค์หรือรถมาสอยตรงทางม้าลาย ทางข้ามของคนให้คนข้ามบ่อย รถต้องรอคนข้ามเพราะคนเดินมีสิทธิ์มากกว่าเพราะจำนวนมากกว่า
ดูรถไฟเสร็จเดินเข้าสวนอุเอโนะต่อเพราะยังเหลือเวลา เดินเตร็ดเตร่ในสวนก็เป็นอีกสิ่งที่ผมชอบทำเพราะชอบได้เห็นต้นไม้สวยๆ ยิ่งญี่ปุ่นเค้าดูแลต้นไม้ได้สวยงามมาก เจอลุงคนนี้ยืนรอสาวอย่างเท่
เดินเล่นไปเรื่อยเจอคนเล่นเบสบอลกันอยู่ด้วย ยืนดูซักพักก็ไม่เข้าใจว่ามันสนุกจริงหรอ 555 เดินไปเรื่อยๆต้นแปะก๊วยเริ่มเดือด สวยมาก ดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
ตอนแรกก็อยากกลับบ้านแต่พอต้องกลับจริงก็อาลัยอาวรณ์ ตลาด Ameyayokocho หรือเรียกสั้นๆว่า Ame-Yoko ตอนสายๆแดดส่องเป็นสายทะลุควันจากร้านปิ้งไก่ มันดูแน่นดูคนเยอะเหมาะกับโตเกียวดี เอาไว้ปิดงานทริปนี้
คนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงชื่นชอบในการเล่าเรื่องของผม ชอบพอกันก็ฝากช่วยกดไลค์ติดตามเพจ ถ้าใครมีแรงช่วยค่าน้ำค่าขนมได้ที่ใต้โพสด้วยน้า ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/nopeopletravelphoto/ แนะนำให้อ่านตอนอื่นๆในทริปเดียวกันด้วยถ้ายังไม่ได้อ่าน สนุกเหมือนกันนะ ติดตามได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยครับ
Comments